“โดนัลด์ ทรัมป์” ฉลอง 100 วันแรกด้วยนโยบายสุดโต่ง พร้อมเตรียม “อาวุธลับ” ชุดใหม่ ลุยดีลการค้า-เจรจาสันติภาพ แม้ถูกวิจารณ์หนักเรื่องสิทธิมนุษยชนและบทบาทสหรัฐฯ บนเวทีโลก
ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ และทีมทำเนียบขาว เตรียมฉลองครบรอบ 100 วันแรกในการดำรงตำแหน่งอย่างยิ่งใหญ่ในสัปดาห์นี้ พร้อมประกาศทิศทางสำคัญในอีก 100 วันข้างหน้า โดยจะเน้นขับเคลื่อนดีลการค้าระดับโลกและการเจรจาสันติภาพ ท่ามกลางกระแสทั้งชื่นชมและวิพากษ์วิจารณ์อย่างกว้างขวาง
ตลอด 100 วันที่ผ่านมา ทรัมป์ดำเนินนโยบายที่สร้างแรงสั่นสะเทือนทั้งในและต่างประเทศแบบไม่หยุดพัก ไม่ว่าจะเป็นการเปลี่ยนแปลงเชิงนโยบายสังคมอย่างการลดสิทธิคนข้ามเพศ การยกเลิกโครงการความหลากหลาย ความเท่าเทียม และการมีส่วนร่วม (DEI) ทั้งในภาครัฐและเอกชน การเก็บภาษีศุลกากรแบบก้าวร้าวจนเขย่าเศรษฐกิจโลก การลดขนาดภาครัฐด้วยการปลดพนักงานจำนวนมาก รวมถึงการโจมตีวงการการศึกษา สำนักงานกฎหมาย และตุลาการ
เจ้าหน้าที่ทำเนียบขาวรายหนึ่งเผยว่า นอกเหนือจากการเฉลิมฉลองความสำเร็จในระยะแรกแล้ว ทรัมป์ยังมี “อาวุธลับ” ชุดใหม่ที่เตรียมปล่อยออกมา แต่ยังไม่เปิดเผยรายละเอียด โดยอธิบายว่า แนวทางการบริหารของทรัมป์ในช่วงต่อจากนี้จะเหมือน “ก้อนหิมะที่กลิ้งลงเนิน” คือยิ่งนานยิ่งเร็วและใหญ่ขึ้น ทั้งในรูปของคำสั่งฝ่ายบริหารและการดำเนินนโยบายเชิงรุกอย่างต่อเนื่อง
การเฉลิมฉลองจะมีไฮไลต์สำคัญที่รัฐมิชิแกน ซึ่งทรัมป์จะขึ้นเวทีรำลึกถึง 100 วันแรก ด้วยการเน้นย้ำวิสัยทัศน์ทางเศรษฐกิจ ผลักดันการขับไล่ผู้อพยพผิดกฎหมาย และเน้นผลงานของหน่วยงานใหม่อย่าง Department of Government Efficiency ซึ่งนำโดยมหาเศรษฐี อีลอน มัสก์ ที่มีเป้าหมายล้างบางระบบราชการที่ถือเป็น “ขยะ” ของภาครัฐในสายตาทรัมป์
เจ้าหน้าที่ทำเนียบขาวรายเดิมกล่าวอย่างภาคภูมิใจว่า สิ่งที่เกิดขึ้นตลอด 100 วันแรก คือ “ความฝันของฝ่ายอนุรักษนิยม” พร้อมเสริมว่า “ทุกเช้าที่ตื่นขึ้นมา เหมือนอยู่ในโลกแห่งความฝัน”
อย่างไรก็ดี ฝ่ายวิจารณ์มองตรงกันข้าม โดยระบุว่าทรัมป์ละเมิดสิทธิพลเมืองและสิทธิของผู้ที่ไม่ได้ถือสัญชาติสหรัฐฯ ทำลายสัมพันธภาพกับชาติพันธมิตร และบ่อนทำลายความเป็นมหาอำนาจของสหรัฐฯ บนเวทีโลก การระงับงบประมาณของมหาวิทยาลัยที่ถูกกล่าวหาว่าทำตัวอดทนต่อพฤติกรรมต่อต้านยิว การจำกัดสิทธิคนข้ามเพศ และการรื้อถอนโครงการ DEI ทั้งในภาครัฐและผู้รับเหมา ส่งผลกระทบเป็นลูกโซ่ทั่วสังคมสหรัฐฯ
แม้ศาลจะขัดขวางนโยบายบางอย่างของทรัมป์ และนำมาซึ่งการโจมตีจากพันธมิตรและคำตำหนิอย่างรุนแรงจากทำเนียบขาว ว่ากำลังขัดขวางเจตจำนงของฝ่ายบริหารและประชาชนที่เลือกทรัมป์เข้ามา แต่ฝ่ายบริหารยืนยันจะเดินหน้าชนกับระบบตุลาการและโครงสร้างราชการที่มองว่า “บวมเกินไป” และ “ไม่สอดคล้องกับวิสัยทัศน์โลก” ของทรัมป์
ในช่วง 100 วันถัดไป เจ้าหน้าที่ทำเนียบขาวระบุว่า ทรัมป์จะหันมาให้ความสำคัญกับการเจรจาการค้าและสันติภาพมากขึ้น หลังจากเปิดศึกการค้าเต็มรูปแบบกับหลายประเทศในปีนี้ แม้ว่าจะชะลอการเก็บภาษีตอบโต้เพื่อเปิดทางให้มีการเจรจารายประเทศ และมีเป้าหมายบรรลุข้อตกลงภายใน 90 วัน อย่างไรก็ตาม ผู้เชี่ยวชาญเตือนว่าความเป็นไปได้นั้นต่ำมาก เนื่องจากจนถึงขณะนี้ทรัมป์ยังไม่สามารถปิดดีลการค้าได้แม้แต่ฉบับเดียว โดยเฉพาะกับจีนที่คำพูดของทรัมป์มักขัดแย้งกับท่าทีอย่างเป็นทางการของรัฐบาลจีน
นอกจากนี้ ทรัมป์ยังมีแผนเดินทางเยือนซาอุดีอาระเบีย กาตาร์ และสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ในเดือนหน้า เพื่อเดินหน้าผลักดันความพยายามเจรจาสันติภาพในสงครามรัสเซีย-ยูเครน แม้ว่าคำสัญญาเดิมที่บอกว่าจะยุติสงครามตั้งแต่ “วันแรก” จะยังไม่สัมฤทธิผล และทรัมป์เองก็ยอมรับเมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมาว่า ประธานาธิบดีวลาดิมีร์ ปูติน ของรัสเซียอาจไม่ต้องการหยุดสงครามนี้เลย
การเดินหมากครั้งต่อไปของทรัมป์กำลังถูกจับตาอย่างใกล้ชิดจากทั้งในและนอกสหรัฐฯ ว่าจะนำพาประเทศไปสู่การเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่อีกระลอก หรือจะยิ่งซ้ำเติมรอยร้าวในสังคมและลดบทบาทของสหรัฐฯ บนเวทีโลกลงอีกขั้น
ที่มา : ฐานเศรษฐกิจ
ภาพ : CNN