สหรัฐฯ–จีน–ญี่ปุ่น เผชิญแรงกดดันทางเศรษฐกิจและการเมือง
Gold Bullish
- สหรัฐฯ ใช้กำลังทหารรับมือม็อบต่อต้านนโยบายคนเข้าเมือง
Gold Bearish
- ความคืบหน้าการเจรจารอบใหม่ระหว่าง สหรัฐฯ – จีน
สหรัฐฯ – จีน เตรียมเจรจารอบใหม่ หวังคลี่คลายปัญหาแร่ธาตุหายาก
สหรัฐอเมริกาและจีนเตรียมจัดการเจรจารอบใหม่ที่กรุงลอนดอนในวันที่ 9 มิถุนายนนี้ โดยมีประเด็นสำคัญคือการส่งออกแร่ธาตุหายาก ซึ่งจีนถือครองส่วนแบ่งการผลิตกว่า 70% ของโลก และมีบทบาทสำคัญในอุตสาหกรรมเทคโนโลยีขั้นสูง เช่น โทรศัพท์มือถือ ยานยนต์ไฟฟ้า และระบบป้องกันประเทศ การเจรจาครั้งนี้มีเป้าหมายคลี่คลายความตึงเครียดทางการค้าที่เกิดขึ้นจากสงครามภาษีระหว่างสองมหาอำนาจ ซึ่งส่งผลกระทบต่อตลาดโลกและนักลงทุน
แม้ว่าทั้งสองฝ่ายจะมีการโทรศัพท์หารือและสัญญาว่าจะปรับปรุงความสัมพันธ์ทางการค้า แต่ความไม่แน่นอนยังคงสูง โดยเฉพาะเรื่องการกำหนดอัตราภาษีสินค้านำเข้าของจีนที่สหรัฐฯ ต้องตัดสินใจว่าจะขยายเวลาผ่อนผันภาษีหรือไม่ในเดือนสิงหาคม ทั้งสองฝ่ายจึงยังต้องใช้เวลาหาทางออกที่เหมาะสมเพื่อยุติความขัดแย้งที่ส่งผลกระทบต่อห่วงโซ่อุปทานโลกและเสถียรภาพทางเศรษฐกิจระหว่างประเทศ
สหรัฐฯ ใช้กำลังทหารรับมือม็อบต่อต้านนโยบายคนเข้าเมือง
เมื่อวันที่ 8 มิถุนายนที่ผ่านมา ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ มีคำสั่งให้ส่งกองกำลังพิทักษ์มาตุภูมิ (National Guard) จำนวน 2,000 นายเข้าประจำการในนครลอสแอนเจลิส รัฐแคลิฟอร์เนีย เพื่อควบคุมสถานการณ์การประท้วงที่เกิดขึ้นต่อเนื่องจากการที่เจ้าหน้าที่หน่วยงานตรวจคนเข้าเมืองและศุลกากรของสหรัฐฯ (ICE) ดำเนินการจับกุมและเนรเทศผู้อพยพผิดกฎหมายในพื้นที่
เหตุการณ์ดังกล่าวนำไปสู่การปะทะระหว่างผู้ชุมนุมกับเจ้าหน้าที่ ซึ่งส่งผลให้มีผู้ถูกจับกุมมากกว่า 100 ราย ทั้งนี้ แคโรไลน์ เลวิตต์ โฆษกทำเนียบขาวเผยว่า ผู้ชุมนุมบางส่วนถึงขั้นใช้ความรุนแรงโจมตีเจ้าหน้าที่ ICE โดยรัฐบาลกลางได้อ้างอำนาจในการดึงกองกำลังของรัฐแคลิฟอร์เนียขึ้นตรงต่อประธานาธิบดี เพื่อรักษาความสงบเรียบร้อย อย่างไรก็ตาม ผู้ว่าการรัฐแคลิฟอร์เนีย เกวิน นิวซัม ได้เรียกร้องให้กองกำลังดังกล่าวกลับมาอยู่ภายใต้การบังคับบัญชาของรัฐ ขณะที่นายกเทศมนตรีนครลอสแอนเจลิส คาเรน บาสส์ เตือนว่าการเคลื่อนทัพทหารของรัฐบาลกลางอาจทำให้สถานการณ์ยิ่งตึงเครียดมากขึ้น
จีนเผชิญภาวะเงินฝืดอย่างต่อเนื่อง
ทางด้านจีน สำนักงานสถิติแห่งชาติจีน (NBS) รายงานว่า ดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) ในเดือนพฤษภาคมปรับตัวลดลง 0.1% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ซึ่งนับเป็นเดือนที่สี่ติดต่อกันที่ตัวเลขดังกล่าวลดลง สะท้อนถึงความเปราะบางของการบริโภคภายในประเทศ และความล่าช้าของผลลัพธ์จากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลจีน
ในขณะที่ CPI พื้นฐาน ซึ่งไม่รวมราคาอาหารและพลังงาน ปรับตัวขึ้น 0.6% ถือเป็นระดับสูงสุดในรอบ 5 เดือน แต่ก็ยังสะท้อนถึงการฟื้นตัวที่ไม่ทั่วถึง ขณะที่ดัชนีราคาผู้ผลิต (PPI) ซึ่งสะท้อนต้นทุนของผู้ผลิต ลดลงถึง 3.3% มากกว่าที่ตลาดคาดการณ์ไว้ ซึ่งเป็นสัญญาณที่ตอกย้ำถึงภาวะเงินฝืดและอุปสงค์ที่ซบเซา โดยเฉพาะในภาคอุตสาหกรรมและการส่งออก
ญี่ปุ่นขยายตัวทางเศรษฐกิจต่ำเกินคาด แม้มีแรงหนุนจากภายใน
ญี่ปุ่นในช่วงเดียวกันนี้ แม้จะมีข่าวดีบางส่วนจากการที่กระทรวงการคลังประกาศยอดเกินดุลบัญชีเดินสะพัดในเดือนเมษายนที่ 2.26 ล้านล้านเยน เพิ่มขึ้น 3.2% จากปีก่อนหน้า แต่ภาพรวมเศรษฐกิจยังคงเปราะบาง โดยเฉพาะจากการที่รายได้ปฐมภูมิจากการลงทุนในต่างประเทศลดลง 9.6% ซึ่งสะท้อนถึงผลตอบแทนจากสินทรัพย์ต่างประเทศที่อ่อนแอลง
นอกจากนี้ สำนักงานคณะรัฐมนตรีญี่ปุ่นยังปรับประมาณการผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) ไตรมาสแรกของปีนี้ให้หดตัวน้อยลง จากเดิม -0.7% เหลือ -0.2% โดยมีแรงหนุนจากการบริโภคภาคเอกชนและการสะสมสินค้าคงคลังที่สูงกว่าคาดการณ์ อย่างไรก็ตาม เศรษฐกิจญี่ปุ่นยังคงอยู่ในภาวะหดตัว ซึ่งส่งผลต่อท่าทีของธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ) ที่ยังคงอัตราดอกเบี้ยไว้ที่ระดับ 0.50% และปรับลดคาดการณ์การเติบโตทางเศรษฐกิจปี 2568 ลงเหลือเพียง 0.5% จากเดิมที่คาดว่าจะขยายตัว 1.1%
ภาพรวมสะท้อนความเสี่ยงระดับโลก
สถานการณ์ที่เกิดขึ้นทั้งในสหรัฐฯ จีน และญี่ปุ่น สะท้อนถึงความไม่แน่นอนของเสถียรภาพทั้งด้านเศรษฐกิจและการเมืองระดับโลก โดยเฉพาะเมื่อสามประเทศนี้มีบทบาทสำคัญต่อระบบเศรษฐกิจระหว่างประเทศ ความตึงเครียดทางการเมืองในสหรัฐฯ การชะลอตัวทางเศรษฐกิจในจีน และภาวะถดถอยในญี่ปุ่น ล้วนเป็นปัจจัยที่นักลงทุนและผู้กำหนดนโยบายทั่วโลกต้องติดตามอย่างใกล้ชิด
แนวโน้มราคาทองในสัปดาห์
ต้นสัปดาห์นี้ราคาทองมีแนวโน้มฟื้นตัวสั้นๆ แต่อาจยังผ่านแนวต้านที่ระดับ 3,310-3,325 ดอลลาร์ ขึ้นไปได้ยาก (เทียบเท่าราคาทองแท่งในประเทศที่ 50,400 และ 51,250 บาทตามลำดับ) จึงยังประเมินว่าในสัปดาห์นี้ราคาทองคำอาจยังมีแนวโน้ม Sideway Down โดยมีเป้าหมายการปรับฐานในสัปดาห์นี้ที่ระดับ 3,245-3,270 ดอลลาร์ (เทียบเท่าราคาทองแท่งในประเทศที่ 50,300 และ 50,700 บาทตามลำดับ) โดยคาดว่ามีแนวโน้มสูงที่ราคาอาจสามารถฟื้นตัวกลับจากแนวรับดังกล่าวหากปรับตัวลงทดสอบจริง