สกุลเงินดอลลาร์สหรัฐแข็งค่าเมื่อเทียบกับสกุลเงินหลัก ๆ ในการซื้อขายที่ตลาดปริวรรตเงินตรานิวยอร์กในวันพฤหัสบดี (22 พ.ค.) ท่ามกลางการซื้อขายที่เป็นไปอย่างผันผวนหลังจากสภาผู้แทนราษฎรสหรัฐฯ ผ่านร่างกฎหมายภาษีและงบประมาณรายจ่ายของรัฐบาลโดนัลด์ ทรัมป์
ทั้งนี้ ดัชนีดอลลาร์ ซึ่งเป็นดัชนีวัดความเคลื่อนไหวของดอลลาร์เมื่อเทียบกับสกุลเงินหลัก 6 สกุลในตะกร้าเงิน เพิ่มขึ้น 0.41% แตะที่ระดับ 99.959
ดอลลาร์สหรัฐแข็งค่าเมื่อเทียบกับเงินเยน ที่ระดับ 144.15 เยน จากระดับ 143.64 เยนในวันพุธ (21 พ.ค.) ขณะเดียวกันก็แข็งค่าเมื่อเทียบกับฟรังก์สวิส ที่ระดับ 0.8292 ฟรังก์ จากระดับ 0.8251 ฟรังก์ และแข็งค่าเมื่อเทียบกับดอลลาร์แคนาดา ที่ระดับ 1.3867 ดอลลาร์แคนาดา จากระดับ 1.3841 ดอลลาร์แคนาดา
ยูโรอ่อนค่าลงเมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐ ที่ระดับ 1.1278 ดอลลาร์ จากระดับ 1.1333 ดอลลาร์ในวันพุธ ส่วนเงินปอนด์อ่อนค่าลงเมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐ ที่ระดับ 1.3423 ดอลลาร์ จากระดับ 1.3428 ดอลลาร์
สภาผู้แทนราษฎรสหรัฐฯ ให้การอนุมัติอย่างฉิวเฉียดต่อร่างกฎหมายภาษีและงบประมาณรายจ่ายเมื่อวานนี้ ด้วยคะแนนเสียง 215-214 เสียง ก่อนส่งต่อไปยังวุฒิสภาเพื่อทำการพิจารณาต่อไป ขณะที่ไมค์ จอห์นสัน ประธานสภาผู้แทนราษฎรสหรัฐ เรียกร้องให้วุฒิสภาเร่งพิจารณาร่างกฎหมายดังกล่าว เนื่องจากเขามีเป้าหมายที่ส่งร่างกฎหมายนี้ให้ถึงโต๊ะของปธน.ทรัมป์ภายในวันที่ 4 ก.ค. ซึ่งเป็นวันชาติสหรัฐ
ทั้งนี้ แม้ว่าการผ่านร่างกฎหมายฉบับนี้จะเป็นชัยชนะครั้งใหญ่ของรัฐบาลทรัมป์ที่สามารถทำตามคำมั่นสัญญาในช่วงหาเสียงเลือกตั้ง แต่สำนักงานงบประมาณแห่งสภาคองเกรสสหรัฐฯ (CBO) เตือนว่าร่างกฎหมายดังกล่าวจะทำให้รัฐบาลมีภาระหนี้เพิ่มขึ้นอีก 3.8 ล้านล้านดอลลาร์ใน 10 ปีข้างหน้า จากปัจจุบันอยู่ที่ระดับ 36.2 ล้านล้านดอลลาร์
สำหรับข้อมูลเศรษฐกิจที่มีการรายงานเมื่อคืนนี้ กระทรวงแรงงานสหรัฐฯ เปิดเผยตัวเลขผู้ยื่นขอสวัสดิการว่างงานครั้งแรก ลดลง 2,000 ราย สู่ระดับ 227,000 รายในสัปดาห์ที่แล้ว ต่ำกว่าตัวเลขคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ที่ระดับ 230,000 ราย
สมาคมนายหน้าอสังหาริมทรัพย์แห่งชาติของสหรัฐฯ (NAR) เปิดเผยว่า ยอดขายบ้านมือสองลดลง 0.5% สู่ระดับ 4.0 ล้านยูนิตในเดือนเม.ย. เมื่อเทียบรายเดือน และต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ 4.15 ล้านยูนิต
เอสแอนด์พี โกลบอลเปิดเผยว่า ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) รวมภาคการผลิตและภาคบริการเบื้องต้นของสหรัฐฯ ปรับตัวขึ้นสู่ระดับ 52.1 ในเดือนพ.ค. ซึ่งเป็นระดับสูงสุดในรอบ 2 เดือน จากระดับ 50.6 ในเดือนเม.ย.
ทั้งนี้ ดัชนี PMI ยังคงอยู่เหนือระดับ 50 ซึ่งบ่งชี้การขยายตัวของภาคธุรกิจสหรัฐฯ โดยได้รับแรงหนุนจากการขยายตัวของภาคการผลิตและภาคบริการ
