ทองคำกลับมาเป็นขาขึ้น จากสงครามรัสเซีย-ยูเครน
Gold Bullish
- ความขัดแย้งด้านภูมิรัฐศาสตร์ที่เพิ่มขึ้น
- ธนาคารกลางทั่วโลกเข้าซื้อทองคำต่อเนื่อง
- ทิศทางดอกเบี้ยขาลง
Gold Bearish
- การหยุดซื้อทองคำของธนาคารกลางจีน
- แนวโน้มดอลลาร์แข็งค่า
- เฟดชะลอการปรับลดดอกเบี้ย
ทองคำกลับมาเป็นขาขึ้น จากสงครามรัสเซีย-ยูเครน
ราคาทองคำปรับตัวขึ้นพุ่งทะลุ 2,700 ดอลลาร์ ทำให้ทิศทางทองคำกลับมาเป็นขาขึ้นอีกครั้ง ซึ่งราคาทองคำปรับตัวขึ้นอย่างต่อเนื่อง หลังจากที่นักลงทุนมีความกังวลเกี่ยวกับสงครามรัสเซียและยูเครนที่รุนแรงขึ้น นับตั้งแต่ที่ไบเดนได้ไฟเขียวยูเครนใช้ขีปนาวุธสหรัฐฯ โจมตีลึกเข้าไปในรัสเซีย ทำให้มีแนวโน้มสงครามจะรุนแรงมากขึ้น การกระทำดังกล่าวของประธานาธิบดีโจ ไบเดนเกิดขึ้นภายหลังผลการเลือกตั้งสหรัฐฯ ที่บ่งชี้ว่า นายโดนัลด์ ทรัมป์ ได้ชนะการเลือกตั้งสหรัฐฯ เป็นประธานาธิบดีสหรัฐฯ เป็นคนที่ 47 และยังครองเสียงข้างมากในสภาคองเกรสทั้งวุฒิสภาและสภาผู้แทนราษฎรหรือ Red Sweep ทำให้การผ่านร่างกฎหมายต่างๆ จากนโยบายพรรครีพับลิกันคาดทำได้ง่ายขึ้น ซึ่งนโยบายของทรัมป์จะแตกต่างอย่างสิ้นเชิงกับนโยบายของไบเดน โดยก่อนหน้านี้นายโดนัลด์ ทรัมป์ได้มีการกล่าวว่าจะคุยกับปูตินเพื่อยุติสงครามภายใน 24 ชม.หลังจากที่ทรัมป์ได้รับตำแหน่ง
การที่ไบเดนได้ไฟเขียวยูเครนใช้ขีปนาวุธสหรัฐฯ โจมตีลึกเข้าไปในรัสเซีย ทำให้รัสเซียได้มีการเตือนอาจเกิดสงครามโลก หากยูเครนใช้ขีปนาวุธสหรัฐฯ โจมตีรัสเซีย ซึ่งถือว่าสหรัฐฯ ได้เปลี่ยนแปลงจุดยืนครั้งสำคัญด้วยการอนุญาตให้ยูเครนใช้ขีปนาวุธนำวิถี ATACMS โจมตีเป้าหมายภายในดินแดนรัสเซียได้เป็นครั้งแรก หลังจากที่ก่อนหน้านี้ได้จำกัดการใช้เฉพาะในดินแดนยูเครนที่ถูกยึดครองโดยรัสเซีย เช่น การโจมตีฐานทัพอากาศในคาบสมุทรไครเมียและภูมิภาคซาปอริเซีย เนื่องจากกังวลว่าการอนุญาตให้ใช้ ATACMS โจมตีเป้าหมายภายในรัสเซีย เช่น ฐานทัพและเส้นทางลำเลียงในดินแดนรัสเซีย อาจทำให้รัสเซียมองว่าเป็นการยกระดับสงครามครั้งสำคัญ และเพิ่มความตึงเครียดระหว่างมหาอำนาจ โดยเฉพาะความสัมพันธ์ระหว่างรัสเซียและสหรัฐฯ ทั้งนี้รัสเซียได้ออกมาเตือนว่า การโจมตีในลักษณะดังกล่าวอาจนำไปสู่ สงครามโลกครั้งที่ 3 ซึ่งถือเป็นคำเตือนที่จริงจังและสะท้อนถึงความวิตกของรัสเซียเกี่ยวกับการสนับสนุนอาวุธจากตะวันตก โดยเฉพาะจากสหรัฐฯ ที่อาจเปลี่ยนความขัดแย้งในยูเครนให้กลายเป็นสงครามที่มีผลกระทบระดับโลก
สงครามรัสเซีย–ยูเครนจะยกระดับเป็นสงครามโลกครั้งที่ 3 หรือไม่?
“แม้ว่าสงครามรัสเซีย-ยูเครนอาจมีโอกาสยกระดับ แต่ในปัจจุบันยังคาดว่า “ยังไม่ถึงขั้นนั้น” อย่างไรก็ตาม สถานการณ์ที่ตึงเครียดนี้ได้ส่งผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญต่อเศรษฐกิจโลก โดยเฉพาะตลาดทองคำ ซึ่งถูกมองว่าเป็นสินทรัพย์ปลอดภัยในช่วงวิกฤตการณ์ ความไม่แน่นอนในภูมิรัฐศาสตร์เป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้ราคาทองคำปรับตัวสูงขึ้น เนื่องจากนักลงทุนแสวงหาการปกป้องทรัพย์สินจากความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้น อย่างไรก็ตาม หากโดนัลด์ ทรัมป์กลับมามีอำนาจ อาจช่วยคลี่คลายสถานการณ์ให้สงบลงได้
ทั้งนี้หากพิจารณาตัวขีปนาวุธ ซึ่งขีปนาวุธนำวิถี ATACMS ซึ่งพัฒนาโดยบริษัทล็อคฮีด มาร์ติน (Lockheed Martin) ขีปนาวุธนี้ถูกจัดสรรให้กับยูเครนโดยสหรัฐฯ เพื่อเพิ่มศักยภาพทางการทหาร ด้วยพิสัยการยิงไกลถึง 300 กิโลเมตร อย่างไรก็ตาม ผลกระทบจากการใช้ขีปนาวุธดังกล่าวอาจยังไม่เปลี่ยนสถานการณ์ในทันที เนื่องจากจำนวนขีปนาวุธที่ยูเครนมีอยู่จำกัด อีกทั้งรัสเซียยังได้ย้ายยุทโธปกรณ์สำคัญ เช่น เฮลิคอปเตอร์และเครื่องบินทิ้งระเบิด ไปยังพื้นที่ฐานทัพที่อยู่นอกระยะการยิงแล้ว อย่างไรก็ตาม การใช้งานขีปนาวุธ ATACMS ช่วยเพิ่มอำนาจต่อรองให้ยูเครนในเชิงยุทธศาสตร์ และทำให้รัสเซียยากขึ้นในการยึดพื้นที่สำคัญคืนมา แต่ก็อาจส่งผลให้สถานการณ์ความขัดแย้งตึงเครียดขึ้นจากการโจมตีและตอบโต้ด้วยอาวุธอย่างต่อเนื่อง ซึ่งมีแนวโน้มทำให้สถานการณ์ทวีความรุนแรงยิ่งขึ้น ความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้นจากการโจมตีตอบโต้กันระหว่างสองฝ่าย อาจเป็นตัวเร่งให้ราคาทองคำปรับตัวสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง นอกจากนี้ ทองคำยังได้รับความสนใจจากนักลงทุนในฐานะสินทรัพย์ปลอดภัย เนื่องจากความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจที่เกิดจากสงคราม เช่น ความผันผวนของราคาน้ำมัน และการชะลอตัวของเศรษฐกิจในยุโรปที่ได้รับผลกระทบจากการคว่ำบาตรรัสเซีย สถานการณ์เหล่านี้ทำให้ทองคำกลายเป็นเครื่องมือในการปกป้องมูลค่าทรัพย์สินในระยะยาว ท่ามกลางความเสี่ยงที่เพิ่มสูงขึ้นจากความขัดแย้งในภูมิภาคนี้
หลังจากที่ราคาทองคำเกิดสัญญาณซื้อ จาก Modified Stochastic และเกิด Bullish MACD และทะลุเส้น SMA50 ขึ้นไปได้ มีแนวโน้มทำให้ราคาทองคำปรับขึ้นได้ต่อ โดยราคาทองคำมีแนวรับ 2,700 ดอลลาร์ และแนวรับถัดไปที่ 2,670 ดอลลาร์ ขณะที่ราคาทองคำมีแนวต้าน 2,730 ดอลลาร์ และแนวต้าน 2,750 ดอลลาร์ ส่วนแนวโน้มราคาทองแท่งมีแนวโน้มปรับตัวขึ้น โดยมีแนวรับ 44,000 บาท และแนวรับถัดไป 43,700 บาท ขณะที่มีแนวต้านที่ 44,500 บาท และ 44,800 บาท