โดยคุณศิริลักษณ์ ปโกฏิประภา
ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์ บริษัท ฮั่วเซ่งเฮง โกลด์ ฟิวเจอร์ส จำกัด
หลังจากราคาทองคำโลกปรับขึ้นยาวนานติดต่อกัน 9 สัปดาห์ ซึ่งเกิดขึ้นเพียง 5 ครั้งเท่านั้นนับตั้งแต่ช่วงทศวรรษ 1970 โดยครั้งล่าสุดเกิดขึ้นในเดือนมิ.ย.- เดือนส.ค.2563 ในที่สุดในปีนี้ทองคำไม่สามารถทำลายสถิติปรับขึ้นติดต่อกัน 10 สัปดาห์ได้ มีแรงเทขายอย่างหนักจาก All-time high ที่ 4,381 ดอลลาร์ ลงไปแตะที่ 3,886 ดอลลาร์ ปรับลดลง 11% ตลาดทองคำเริ่มเปลี่ยนจากปรากฎการณ์ FOMO (fear of missing out) เป็น ปรากฎการณ์ FOWO (fear of wipeout) ความกลัวว่าจะติดดอย ความกลัวว่าจะขาดทุนมากขึ้นๆ
2 ปัจจัยที่มองว่าควรติดตาม คือ การพิจารณาคดีภาษีนำเข้าแบบวงกว้างของทรัมป์ของศาลสูงสุดสหรัฐฯ และ จีนประกาศยกเลิกยกเว้นภาษีทองคำสำหรับผู้ค้าปลีก
ไม่ว่าศาลสูงสุดจะตัดสินอย่างไร ภาษีนำเข้าของทรัมป์คาดจะยังคงอยู่
ศาลสูงสุดสหรัฐฯ ได้นัดไต่สวนคดีภาษีนำเข้าแบบวงกว้างของประธานาธิบดีทรัมป์เมื่อวันที่ 5 พ.ย. ที่ผ่านมา ก่อนหน้านี้ศาลล่างตัดสินว่าทรัมป์ใช้อำนาจเกินขอบเขตตามกฎหมาย IEEPA ในการเก็บภาษีนำเข้าทั่วโลก รัฐธรรมนูญสหรัฐฯ กำหนดให้สภาคองเกรสเป็นฝ่ายที่มีอำนาจเก็บภาษีและกำหนดอัตราภาษีนำเข้า
การไต่สวนของศาลสูงสุด ผู้พิพากษาทั้งสายอนุรักษนิยมและเสรีนิยมตั้งคำถามอย่างเข้มข้นต่อรัฐบาลทรัมป์ การตีความกฎหมาย IEEPA ซึ่งตั้งใจให้ใช้เฉพาะในภาวะฉุกเฉินระดับชาติ แล้วให้อำนาจทรัมป์เก็บภาษีได้หรือไม่ หรือทรัมป์ได้ล่วงล้ำอำนาจของสภาคองเกรส ซึ่งตามรัฐธรรมนูญเป็นผู้มีอำนาจกำหนดภาษีนำเข้า ทั้งที่ก่อนหน้านี้มีการคาดการณ์ว่าศาลสูงสุดอาจจะตัดสินให้ทรัมป์ชนะหรืออย่างน้อยยืนยันอำนาจบางส่วน เนื่องจากศาลสูงสุดมีผู้พิพากษา 6 ใน 9 คนเป็นสายอนุรักษนิยมได้รับการแต่งตั้งจากพรรครีพับลิกัน แต่หลังฟังการไต่สวนแล้วมีโอกาสก้ำกึ่ง 50 : 50 ที่ศาลตัดสินให้ทรัมป์ชนะ
คำตัดสินของศาลสูงสุด vs. ราคาทองคำ
กรณีที่ 1 ศาลตัดสินว่าไม่ชอบด้วยกฎหมายและต้องคืนเงินภาษีนำเข้า รัฐบาลจะเปลี่ยนไปใช้กฎหมายอื่นเพื่อคงอัตราภาษี เช่น มาตรา 122 ของกฏหมายภาษีการค้าปี 1974 เก็บภาษีนำเข้าสูงสุด 15% เป็นเวลา 150 วัน มาตรา 338 ของกฏหมายภาษีการค้าปี 1930 เก็บภาษีนำเข้าสูงสุด 50% สำหรับประเทศที่เลือกปฏิบัติทางการค้า ในช่วงแรกราคาทองอาจย่อตัวลง เนื่องจากตลาดอาจประเมินสงครามการค้าอาจลดลง ต้องยกเลิกภาษีนำเข้าที่ได้มีการเจรจากับประเทศคู่ค้าและบังคับใช้ไปแล้ว แต่ในที่สุดคาดสงครามการค้ายังเกิดขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากศาลตัดสินให้คืนเงินภาษีนำเข้า คาดจะกระทบต่อตลาดพันธบัตรสหรัฐ และฐานะการคลังของรัฐบาลสหรัฐฯ สั่นคลอน เนื่องจากต้องคืนเงินภาษีสูงถึงราว 1 แสนล้านดอลลาร์ พร้อมดอกเบี้ย 6% ต่อปี อาจทำให้ราคาทองคำพุ่งขึ้นแรงได้ เนื่องจากความไม่แน่นอนต่อเศรษฐกิจสหรัฐฯและเศรษฐกิจโลกกลับมามากขึ้น
กรณีที่ 2 ศาลตัดสินว่าชอบด้วยกฎหมาย ภาษีนำเข้ายังคงดำเนินต่อไป ซึ่งมีอัตราภาษีตามที่สหรัฐฯ ได้มีการเจรจาการค้ากับประเทศคู่ค้าก่อนหน้านี้แล้ว อาจไม่ได้กระทบต่อราคาทองคำมากนัก
ตราบใดที่ภาษีนำเข้าของทรัมป์ต้องรอคำตัดสินของศาลสูงสุด อาจต้องใช้เวลาหลายเดือนในการพิจารณาคดี ในช่วงเวลาดังกล่าวจะทำให้เกิดความไม่แน่นอนต่อเศรษฐกิจโลก และทำให้มีแรงซื้อทองคำเพื่อกระจายความเสี่ยงกลับเข้ามาในช่วงที่ราคาทองมีการปรับฐานลง
จีนยุติยกเว้นภาษีทองคำสำหรับผู้ค้าปลีก ความต้องการทองจะลดลง?
จีนประกาศจะไม่อนุญาตให้ผู้ค้าปลีกหักภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) จากการขายทองคำ มีผลบังคับใช้ตั้งแต่ 1 พ.ย.2568- 31ธ.ค.2570 ระยะสั้นดูเผินๆ อาจจะส่งผลกระทบต่อความต้องการทองคำลดลง เนื่องจากจีนเป็นผู้ใช้ทองคำรายใหญ่ของโลก ในช่วง 9 เดือนของปีนี้จีนมีสัดส่วนถึง 1 ใน 3 ของความต้องการทองแท่งทั่วโลก และมีสัดส่วน 27% ของความต้องการเพื่อใช้เป็นเครื่องประดับทั่วโลก แต่เมื่อเจาะลึกรายละเอียดนโยบายดังกล่าว อาจจะส่งผลกระทบต่อความต้องการทองคำไม่ได้ลดลงมากอย่างที่ตลาดกังวลก็ได้ ที่สำคัญจะส่งผลดีต่อการพัฒนาตลาดทองคำของจีนในอนาคต
- ยกเว้นภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) ที่ทำผ่านตลาดซื้อขายทองคำเซี่ยงไฮ้ และตลาดซื้อขายล่วงหน้าเซี่ยงไฮ้ และยังไม่เกิดการส่งมอบทองคำจริงออกจากคลัง
- หากเกิดการส่งมอบทองคำจริงแล้วจะต้องเสีย VAT ตามเกณฑ์ที่กำหนดขึ้นอยู่กับเป็นทองคำเพื่อการลงทุน หรือทองคำที่ใช้ในการผลิต
- ทองคำเพื่อการลงทุน จะเสีย VAT แต่มีการคืน VAT พร้อมยกเว้นภาษีเมืองและค่าธรรมเนียมการศึกษา
- ทองคำที่ใช้งานจริง เช่น โรงงาน เครื่องประดับ ยกเว้น VAT
- ธุรกรรมทองคำนอกตลาด เช่น OTC หรือมีการนำเข้าส่งออกโดยตรง ต้องเสีย VAT
โดยสรุปกลุ่มผู้ค้าปลีกทองคำในจีนที่ไม่ได้ทำธุรกรรมผ่านตลาดทั้งตลาด Spot และตลาดล่วงหน้าเซี่ยงไฮ้ จะไม่ได้รับสิทธิประโยชน์ด้านภาษี ทางการจีนอาจพยายามผลักดันให้นักลงทุนสถาบันและผู้ค้าปลีกทองคำซื้อขายผ่านตลาดมากขึ้นและเสริมสภาพคล่อง เพื่อได้รับสิทธิประโยชน์ด้านภาษีและมีต้นทุนลดลง ไม่ต้องผลักภาระให้ผู้บริโภค
ราคาทองคำถูกหรือแพง เทียบกับ SMA 200 วัน
ช่วงที่ราคาทองปรับขึ้นร้อนแรงในเดือนต.ค. ทำให้เกิดคำถามมากมายว่าราคาทองคำเกิดภาวะฟองสบู่หรือไม่ แพงเกินไปที่จะเข้าซื้อหรือไม่ เป็นคำถามที่ตอบได้ยากเพราะไม่เคยเจอเหตุการณ์แบบนี้ที่ทองขึ้นไม่หยุดกว่า 1 พันดอลลาร์ ในช่วง 9 สัปดาห์ ทั้งที่เครื่องมือทางเทคนิคเกิดสัญญาณซื้อมากเกินไปแล้ว เลยหาวิธีในการประเมินว่าราคาทองคำถูกหรือแพงเมื่อเทียบกับเส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ (SMA) 200 วัน
สถิติที่ผ่านมาในช่วงที่ราคาทองคำร้อนแรงมากๆ ราคาทองคำสูงกว่า SMA 200 วันราว 25% ดังนั้นเมื่อไรก็ตามที่สูงกว่าก็อาจเป็นเตือนว่าต้องระมัดระวังในการลงทุน ราคาทองแพงมากๆ แล้ว ซึ่งในช่วงวันที่ 8 ต.ค.-20 ต.ค.2568 ราคาทองคำสูงกว่า SMA 200 วันมากถึง 25-33%
สำหรับระดับราคาทองที่มองว่าเป็นจุดน่าทยอยสะสม คือ ราคาทองคำสูงกว่า SMA 200 วัน ราว 10-15% SMA 200 วัน ณ.วันที่ 6 พ.ย. 2568 อยู่ที่ 3,373 ดอลลาร์ ดังนั้นถ้าประเมินด้วยวิธีนี้กรอบราคาทองโลกที่แนะนำทยอยสะสมคือ 3,710-3,880 ดอลลาร์ ราคาทองไทยประมาณ 58,000-59,800 บาท นอกจากนี้ปีนี้ราคาทองคำโลกยืนเหนือเส้น SMA 100 วัน จุดแนวรับที่น่าสนใจคือ 3,600 ดอลลาร์ ราคาทองไทยประมาณ 57,000 บาท
ราคาทองคำโลกและ SMA 200 วัน










