Gold Bullish
- ศึกชิงตำแหน่งเก้าอี้ประธานเฟดคนต่อไป อาจดันทองคำพุ่งทะยาน
- เฟดลดอกเบี้ย พร้อมส่งสัญญาณลดเพิ่มเติมปี 2026 / 2027
- วุฒิสภาสหรัฐฯ ปัดตกร่างกฎหมายประกันสุขภาพ ขณะที่ใกล้หมดอายุสิ้นเดือนนี้
- ประธานเฟดสาขาคลีฟแลนด์ชี้ เฟดควร “ลด” ดอกเบี้ย
Gold Bearish
- พาวเวลยังระวังเงินเฟ้อ ยังไม่ฟันธงลดดอกเบี้ยครั้งต่อไป
- ตลาด CME FedWatch คาดเฟดอาจคงดอกเบี้ยในช่วงครึ่งปี 2026
- ประธานเฟดสาขาคลีฟแลนด์ชี้ เฟดควร “คง” ดอกเบี้ย
สัปดาห์ที่ผ่านมา ราคาทองคำปรับตัวขึ้น จากการที่ตลาดเริ่มมีการคาดการณ์ว่า เควิน แฮสเซตต์ อาจได้รับเลือกจากปธน.โดนัลด์ ทรัมป์ ให้เป็นประธานเฟดคนต่อจากนายเจอโรม พาวเวล ประธานเฟดคนปัจจุบัน ที่กำลังจะหมดวาระลงในเดือนพฤษภาคม 2026 ในขณะที่ตลาดได้รับรู้ปัจจัยบวกในการลดดอกเบี้ยของเฟดและแนวโน้มการลดดอกเบี้ยในอนาคตผ่านตัวเลข Dot Plot อย่างไรก็ตาม ในสัปดาห์นี้ยังคงมีปัจจัยสำคัญต่อราคาทองที่ส่งผลต่อเนื่องมาจากอดีต และปัจจัยสำคัญที่มีผลต่อสัปดาห์นี้โดยตรง ดังนี้
ศึกชิงตำแหน่งเก้าอี้ประธานเฟดคนต่อไป อาจดันทองคำพุ่งทะยาน
เมื่อวันที่ 10 ธันวาคม ปธน.โดนัลด์ ทรัมป์ ได้เตรียมเปิดฉากการสัมภาษณ์รอบสุดท้ายสำหรับตำแหน่งประธานธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) ในเร็วๆ นี้ โดยนายเควิน แฮสเซตต์ ที่ปรึกษาเศรษฐกิจแห่งชาติ (NEC) ประจำทำเนียบขาว ยังคงเป็นตัวเต็งอันดับหนึ่งที่จะมาสืบทอดตำแหน่งประธานเฟดต่อจากนายเจอโรม พาวเวลล์ ประธานเฟด ที่กำลังจะหมดวาระประธานเฟดลงในเดือนพฤษภาคม ปี 2026 และทรัมป์ยังได้กล่าวกับสำนักข่าว Financial Times ว่าจะพิจารณาผู้คัดเลือก 2-3 คน แต่ทรัมป์มีไอเดียที่ค่อนข้างชัดเจนแล้วว่าต้องการเลือกใครเป็นประธานเฟด แม้จะมีความกังวลในหมู่นักลงทุนวอลล์สตรีทบางส่วนว่าแฮสเซตต์มีความใกล้ชิดกับทรัมป์มากเกินไป และอาจปรับลดอัตราดอกเบี้ยอย่างรุนแรงเกินไป ทั้งนี้ เจ้าหน้าที่ทำเนียบขาว 3 รายระบุว่า ทรัมป์และนายสก็อตต์ เบสเซนต์ รมว.คลังสหรัฐฯ มีกำหนดพบกับนายเควิน วอร์ช อดีตผู้ว่าการเฟดในวันพุธที่ผ่านมา ในขณะที่นายเบสเซนต์ได้เสนอรายชื่อ 4 คนต่อทำเนียบขาว โดยมีนายแฮสเซตต์และนายวอร์ชรวมอยู่ด้วย ส่วนอีก 2 คนจะถูกคัดเลือกจากรายชื่อผู้เข้ารอบสุดท้ายคนอื่น ๆ ซึ่งได้แก่ ผู้ว่าการเฟด คริสโตเฟอร์ วอลเลอร์ และมิเชล โบว์แมน รวมถึงนายริก รีเดอร์ จาก BlackRock โดยคาดว่าทรัมป์และเบสเซนต์จะจัดการสัมภาษณ์อย่างน้อยหนึ่งครั้งในสัปดาห์หน้า ก่อนที่ทรัมป์จะประกาศการตัดสินใจขั้นสุดท้ายในช่วงต้นเดือนมกราคมปี 2026 นอกจากนี้ นายอาทิตยา บาฟ (Aditya Bhave) นักเศรษฐศาสตร์อาวุโสสหรัฐฯ ที่ Bank of America คาดการณ์ว่าจะมีการลดดอกเบี้ยอีกสองครั้งในเดือนมิถุนายนและกรกฎาคมปี 2026 ซึ่งไม่ใช่เพราะความจำเป็นทางเศรษฐกิจ แต่เป็นเพราะประธานเฟดคนใหม่ และอาจทำให้เฟดเพิ่มความเสี่ยงในการผลักดันนโยบายเข้าสู่แดนผ่อนคลาย และส่งผลให้อัตราดอกเบี้ยในปี 2026 อยู่ในช่วง 3.0 ถึง 3.25% ซึ่งส่งผลให้ดอลลาร์มีแนวโน้มอ่อนค่าและเป็นปัจจัยบวกแก่ทองคำ
อย่างไรก็ตาม การก้าวขึ้นมาเป็นตัวเต็งของแฮสเซตต์ทำให้นักลงทุนพันธบัตรบางส่วนตื่นตระหนก ซึ่งได้แจ้งต่อกระทรวงการคลังว่าพวกเขากลัวว่าแฮสเซตต์อาจลดอัตราดอกเบี้ยอย่างไม่เลือกหน้า ซึ่งเป็นการเคลื่อนไหวที่พวกเขาเชื่อว่าอาจทำลายเสถียรภาพของตลาดพันธบัตรรัฐบาลมูลค่า 30 ล้านล้านดอลลาร์ หากส่งผลให้เงินเฟ้อสูงอย่างต่อเนื่อง ซึ่งหากอัตราผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐฯ หรือบอนด์ยีลด์สูงขึ้นจากการกระทำงานนายแฮสเซตต์ อาจส่งผลให้ราคาทองคำอาจได้รับปัจจัยกดดันเชิงลบได้เช่นกัน
เฟดลดอกเบี้ย พร้อมส่งสัญญาณลดเพิ่มเติมปี 2569 / 2570
เมื่อวันที่ 10 ธันวาคม เฟดมีมติ 9 ต่อ 3 เห็นชอบให้ลดดอกเบี้ย 0.25% ลงสู่ระดับ 3.50 – 3.75% โดย 3 เสียงที่โหวตสวนมติ ได้แก่ นายสตีเฟน มิแรน ลงมติให้เฟดปรับลดอัตราดอกเบี้ย 0.50% ในการประชุมครั้งนี้ ส่วนนายเจฟฟรีย์ ชมิด ประธานเฟด สาขาแคนซัสซิตี และนายออสแตน กูลส์บี ประธานเฟด สาขาชิคาโก ลงมติให้เฟดคงอัตราดอกเบี้ยที่ระดับ 3.75-4.00% ในขณะที่การคาดการณ์อัตราดอกเบี้ยนโยบาย (Dot Plot) เจ้าหน้าที่เฟดส่งสัญญาณปรับลดอัตราดอกเบี้ย 1 ครั้ง ๆ ละ 0.25% ในปี 2569 และลดอัตราดอกเบี้ยอีก 1 ครั้ง ๆ ละ 0.25% ในปี 2570 ก่อนที่อัตราดอกเบี้ยนโยบายของเฟดแตะเป้าหมายระยะยาวที่ระดับ 3% ซึ่งไม่ต่างไปจากการ Dot Plot ในการประชุมเดือนก.ย. เลย ทั้งนี้ เฟดยังได้มีการปรับเพิ่มคาดการณ์การขยายตัวของเศรษฐกิจสหรัฐฯ (GDP) โดยเฟดคาดการณ์ GDP ในปี 2568, 2569, 2570 และ 2571 อยู่ที่ระดับ 1.7%, 2.3%, 2.0% และ 1.9% ตามลำดับ จากเดิมที่คาดการณ์ในเดือนก.ย.ว่าจะมีการขยายตัว 1.6%, 1.8%, 1.9% และ 1.8% ตามลำดับ นอกจากนี้ เฟดคาดการณ์อัตราว่างงานในปี 2568, 2569, 2570 และ 2571 อยู่ที่ระดับ 4.5%, 4.4%, 4.2% และ 4.2% ตามลำดับ จากเดิมคาดการณ์ในเดือนก.ย.ว่าจะอยู่ที่ระดับ 4.5%, 4.4%, 4.3% และ 4.2% ตามลำดับ ขณะที่อัตราการว่างงานระยะยาวยังคงอยู่ที่ระดับ 4.2% ขณะเดียวกัน เฟดคาดการณ์อัตราเงินเฟ้อตามดัชนี PCE พื้นฐาน (Core PCE) ในปี 2568, 2569, 2570 และ 2571 อยู่ที่ระดับ 3.0%, 2.5%, 2.1% และ 2.0% ตามลำดับ จากเดิมคาดการณ์ในเดือนก.ย.ว่าจะอยู่ที่ระดับ 3.1%, 2.6%, 2.1% และ 2.0% ตามลำดับ
อีกประเด็นหนึ่งที่เป็นปัจจัยบวกต่อทองคำก็คือ เฟดยังได้ประกาศจะกลับมาซื้อพันธบัตรรัฐบาล (Treasury securities) หรือเริ่มกลับมาทำ Mini QE โดยจะเริ่มซื้อพันธบัตรระยะสั้น (Treasury bills) มูลค่า 40,000 ล้านดอลลาร์ โดยเริ่มตั้งแต่วันศุกร์นี้เป็นต้นไป เพื่อตอบสนองต่อแรงกดดันในตลาดระดมทุนข้ามคืน (Overnight Funding Markets)
กล่าวโดยสรุปก็คือ เฟดยังคงมีแนวโน้มในการลดดอกเบี้ยและทำ QE ต่อเนื่องเพื่อเสริมสภาพคล่องให้กับตลาดพันธบัตรรัฐบาลและธนาคารพาณิชย์สหรัฐฯ ในขณะที่เฟดมีมุมมองว่าเศรษฐกิจสหรัฐฯ จะเติบโตขึ้นจากการลดดอกเบี้ย ซึ่งส่งผลให้เงินเฟ้อจะยังคงขยายตัวหรือทรงตัวสูงต่อไป ซึ่งอาจเป็นปัจจัยบวกต่อทองคำในสัปดาห์หน้าและลากยาวไปถึงจึงปี 2026 ในฐานะสินทรัพย์ปลอดภัยที่ป้องกันเงินเฟ้อ
วุฒิสภาสหรัฐฯ ปัดตกร่างกฎหมายประกันสุขภาพ ขณะที่ใกล้หมดอายุสิ้นเดือนนี้
วุฒิสภาสหรัฐฯ ไม่สามารถผลักดันร่างกฎหมายประกันสุขภาพที่พรรคเดโมแครตและพรรครีพับลิกันต่างเสนอกันคนละฉบับ ส่งผลให้ชาวอเมริกันกว่า 24 ล้านคน ซึ่งในจำนวนนี้มีถึง 22 ล้านคนที่ได้รับสิทธิ์เงินอุดหนุนเพิ่มเติมเพื่อช่วยลดค่าเบี้ยประกันรายเดือน อาจต้องเผชิญกับเบี้ยประกันที่สูงขึ้นอย่างมาก เนื่องจากมาตรการเงินอุดหนุนเพิ่มเติมสำหรับโครงการประกันสุขภาพถ้วนหน้า (Affordable Care Act: ACA) หรือที่รู้จักกันในชื่อ “โอบามาแคร์” (Obamacare) กำลังจะหมดอายุลง ณ สิ้นเดือนนี้ โดยในรายงานได้ระบุว่า ข้อเสนอของพรรคเดโมแครตที่ต้องการขยายเงินอุดหนุนพิเศษที่ใช้มาตั้งแต่ช่วงโควิด-19 ออกไปอีก 3 ปี ได้รับเสียงสนับสนุนจากวุฒิสมาชิกพรรครีพับลิกัน 4 คน แต่คะแนนก็ยังไม่ถึง 60 เสียงที่จำเป็นต่อการหยุดยั้งการอภิปรายประวิงเวลาเพื่อขัดขวางการผ่านญัตติหรือมติในสภา (Filibuster) ในขณะที่งบประมาณที่ผ่านร่างกฎหมายชั่วคราวเมื่อวันที่ 12 พฤศจิกายน ได้ครอบคลุมงบประมาณเพียง 3 ใน 12 ส่วนที่สภาคองเกรสอนุมัติงบประมาณในแต่ละปี โดยหากวันที่ 30 มกราคม 2569 ยังไม่สามารถอนุมัติอีก 9 ส่วนได้ อาจเกิดภาวะชัตดาวน์ในอีก 2 เดือนข้างหน้าอีกครั้ง ซึ่งอาจส่งผลให้ตลาดรับรู้ถึงความกังวลล่วงหน้าในสัปดาห์หน้าไปจนถึงเดือนมกราคม ปี 2026 หากรัฐสภายังไม่สามารถหาทางออกร่วมกันทั้ง 2 ฝ่ายได้สำเร็จ
พาวเวลยังระวังเงินเฟ้อ ยังไม่ฟันธงลดดอกเบี้ยครั้งต่อไป
อย่างไรก็ตาม การลดดอกเบี้ยของเฟดก็ยังไม่ฟันธงเลยซะทีเดียวว่าในปี 2026 และ 2027 จะเป็นไปโดยราบรื่น เนื่องจากถ้อยแถลงของนายเจอโรม พาวเวล ประธานเฟดในการประชุม FOMC เมื่อวันพุธที่ 10 ธันวาคม ได้กล่าวถึงการปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลง 0.75% ตั้งแต่เดือนก.ย. และปรับลดลง 1.75% นับตั้งแต่เดือนก.ย.ปี 2024 ว่าได้ส่งผลให้ ณ ปัจจุบันอัตราดอกเบี้ยได้อยู่ในสถานะที่เหมาะสมในการตอบสนองต่อเศรษฐกิจในวันข้างหน้าแล้ว โดยเฟดจะยังคงรอดูว่าเศรษฐกิจจะมีการพัฒนาไปในทิศทางใด และการตัดสินใจเกี่ยวกับดอกเบี้ยจะยังคงดูเป็นการประชุมเป็นครั้ง ๆ ไป ในขณะที่ทางด้านเงินเฟ้อ พาวเวลได้กล่าวว่ามีการขยายตัวขึ้น โดยมีสาเหตุสาเหตุมาจากอัตราภาษีนำเข้าของปธน.ทรัมป์ แต่ผลกระทบจะทำให้เงินเฟ้อปรับตัวสูงขึ้นนั้นจะเป็นเพียงแค่ครั้งเดียว อีกทั้งกรรมการเฟดทุกคนที่เข้าร่วมการประชุม FOMC มีความเห็นตรงกันว่าเงินเฟ้ออยู่ในระดับสูงเกินไป และเฟดต้องการให้เงินเฟ้อปรับตัวลดลง อีกทั้งยังมีความเห็นตรงกันว่าตลาดแรงงานอ่อนแอลงและมีความเสี่ยงเพิ่มขึ้นด้วย
จากปัจจัยข้างต้น ส่งผลให้ตลาด CME FedWatch ได้คาดการณ์ว่า เฟดอาจคงอัตราดอกเบี้ยไว้ที่ 3.50-3.75% ในการประชุม FOMC ในเดือน มกราคม และ มีนาคม ปี 2026 ถึง 77.9% และ 50.4% ตามลำดับ ทำให้ตลาดยังต้องจับตาว่า ในอนาคต เฟดจะมีการคงดอกเบี้ยเพื่อรักษาความสมดุลของตลาดแรงงาน / เงินเฟ้อ หรืออาจเซอร์ไพรส์ด้วยการขึ้นดอกเบี้ยเพื่อสกัดเงินเฟ้อในภายหลัง ซึ่งต่างจากการคาดการณ์ใน Dot Plot หรือไม่?
2 ประธานสาขาฟิลาเดลเฟีย vs คลีฟแลนด์ มองสวนทางนโยบายการเงิน
นางแอนนา พอลสัน (Anna Paulson) ประธานธนาคารกลางสหรัฐฯ สาขาฟิลาเดลเฟีย กล่าวเมื่อวันศุกร์ว่า ความกังวลหลักในขณะนี้คือสถานการณ์ของตลาดแรงงานที่อ่อนตัวลงมากกว่าความเสี่ยงด้านเงินเฟ้อที่จะเพิ่มสูงขึ้น และสถานะปัจจุบันของนโยบายการเงินสามารถช่วยให้อัตราเงินเฟ้อให้กลับตัวลงมาสู่เป้าหมาย 2% ของเฟดได้ อีกทั้งอัตราดอกเบี้ยนโยบายปัจจุบันที่ 3.50 – 3.75% และพอลสันยังคงเห็นว่านโยบายการเงินยังอยู่ในภาวะค่อนข้างตึงตัว (Somewhat Restrictive) แต่ในขณะเดียวกัน นางเบธ แฮมแม็ค ประธานเฟดสาขาคลีฟแลนด์ กล่าวว่า ตนต้องการให้นโยบายการเงินเข้มงวดกว่าที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน โดยการลดอัตราดอกเบี้ยของเฟดในการประชุม FOMC ครั้งล่าสุด ควบคู่กับการผ่อนคลายนโยบายการเงินในเดือน ก.ย. และ ต.ค. ทำให้ระดับนโยบายอัตราดอกเบี้ย อยู่ในระดับที่เป็นกลาง (ไม่มากไปไม่น้อยไป) แฮมแม็คกล่าวเสริมว่า ตนอยากให้นโยบายการเงินมีความเข้มงวดมากขึ้นเล็กน้อย เพื่อช่วยกดดันอัตราเงินเฟ้อที่สูงเกินไป ซึ่งความแตกต่างกันอย่างสุดขั้วในมุมมองนโยบายการเงินนี้ จะยังคงทำให้ตลาดยังต้องจับตาต่อไปผ่านตัวเลขคาดการณ์ใน CME FedWatch ในสัปดาห์นี้ว่า ตลาดจะมองแนวโน้มดอกเบี้ยเฟดในปี 2026 อย่างไร
ตัวเลขเศรษฐกิจที่สำคัญในสัปดาห์หน้า
- การจ้างงานนอกภาคเกษตรรายสัปดาห์จาก ADP
- การจ้างงานนอกภาคเกษตร เดือน พ.ย.
- อัตราการว่างงาน เดือน พ.ย.
- ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) ภาคการผลิต / บริการเดือน ธ.ค.
- ดัชนีราคาผู้บริโภคพื้นฐาน / ทั่วไปเดือน พ.ย. เทียบรายเดือน / รายปี
- จำนวนผู้ยื่นขอสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์
- การประชุมธนาคารกลางอังกฤษ / ยุโรป / ญี่ปุ่น
- ดัชนีการบริโภคส่วนบุคคลพื้นฐาน / ทั่วไป เทียบรายเดือน / รายปี เดือน ต.ค.
- การประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.)
แนวโน้มราคาทอง
ราคาทองคำโลกในสัปดาห์นี้คาดว่าในทางเทคนิคระยะสั้นยังคงทรง Sideway Up ในกรอบ Ascending Triangle แต่ระยะยาวยังคงมีรูปแบบ Expanding Triangle ซึ่งเป็นการสะท้อนถึงภาวะ “ฟื้นตัวต่อเนื่อง” หลังจากที่ตลาดได้รับรู้ปัจจัยบวกในการประชุม FOMC ของเฟดและการที่เฟดอาจได้ว่าที่ประธานเฟดคนใหม่ นายเควิน แฮสเซตต์ เข้ารับดำรงตำแหน่ง อาจส่งผลให้ทองคำปรับตัวขึ้นทดสอบแนวต้านสำคัญที่ 4,372 และ 4,472 ดอลลาร์ และอาจกระตุ้นแรงซื้อในตลาดทองคำได้รอบใหม่ อย่างไรก็ตาม หากตลาดรับรู้ปัจจัยลบจากถ้อยแถลงของนายเจอโรม พาวเวล ประธานเฟด ที่ยังคงแสดงความไม่แน่นอนในการลดดอกเบี้ย รวมถึงแนวโน้มเงินเฟ้อที่อาจขยายตัวขึ้นในปี 2026 อาจทำให้ทองคำปรับตัวลงทดสอบแนวรับสำคัญที่ 4,200 และ 4,130 ดอลลาร์ ซึ่งหากหลุดแนวรับดังกล่าว อาจกระตุ้นให้ตลาดมีการปรับตัวลงอย่างต่อเนื่องได้เช่นกัน
สำหรับทองคำแท่งในประเทศ แนะนำให้นักลงทุน ทยอยสะสมเมื่อราคาปรับตัวลง ใกล้บริเวณ 63,400 บาท โดยมีจุดตัดขาดทุนที่ 62,800 บาท ขณะที่แนวต้านอยู่ที่ 64,600 บาท และ 65,200 บาท









