Desktop 1550x550 13

แนวโน้มตลาดและการลงทุน

ทองพุ่งสูง ขานรับศึกการค้า , ภูมิรัฐศาสตร์เดือด , แรงงานทรุด แม้เฟดเสียงแตกอาจไม่ลดดอกเบี้ย

01 ธันวาคม 2568|09:22 น.

Gold Bullish

  • ความตึงเครียดไต้หวัน – ญี่ปุ่น อาจกระทบ จีน – สหรัฐฯ
  • เจรจาการค้าสหรัฐฯ – EU ยังไม่ได้ข้อสรุปชัดเจน
  • 5 คนสุดท้าย ลุ้นเป็นประธานเฟดต่อจากพาวเวล
  • เอกชนสหรัฐฯ เตรียมปลดพนักงาน ขณะที่แรงงานผู้อพยพลดน้อยลง

Gold Bearish

  • วัดใจ กรรมการมีมติ 6 : 6 (อาจ) ชี้ เฟดควรตรึงดอกเบี้ย

สัปดาห์ที่ผ่านมา ราคาทองคำปรับตัวขึ้น 158 ดอลลาร์ หรือราว 3.9% สู่ระดับ 4,223.1 ดอลลาร์ จากการทึ่ความตึงเครียดในประเด็นเรื่องไต้หวัน ได้ลุกลามไปยังญี่ปุ่นที่ซึ่งเป็นชาติพันธมิตรของสหรัฐฯ ขณะที่สหรัฐฯ ยังไม่สามารถเจรจาการค้ากับ EU ได้สำเร็จ นอกจากนี้ ปัญหาทางด้านตลาดแรงงานกลับกลายเป็นสิ่งที่เฟดเริ่มให้ความกังวล แต่ก็ยังพะวงถึงภาวะเงินเฟ้อที่อาจตามมาในภายหลัง อย่างไรก็ตาม ในสัปดาห์นี้ยังคงมีปัจจัยสำคัญต่อราคาทองที่ส่งผลต่อเนื่องมาจากอดีต และปัจจัยสำคัญที่มีผลต่อสัปดาห์นี้โดยตรง ดังนี้

ความตึงเครียดไต้หวัน – ญี่ปุ่น อาจกระทบ จีน – สหรัฐฯ

ในช่วงต้นสัปดาห์ที่ผ่านมา ปธน.โดนัลด์ ทรัมป์ ได้โทรศัพท์พูดคุยกับ ปธน.สี จิ้นผิง เกี่ยวกับข้อตกลงการค้าที่บรรลุในเกาหลีใต้เมื่อเดือนที่แล้ว และประเด็นเรื่องไต้หวันที่จีนมองว่าเป็นส่วนหนึ่งของตน โดยอ้างอิงถึงประวัติศาสตร์การเป็นพันธมิตรร่วมรบต้านลัทธิฟาสซิสต์ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2  ในขณะที่นายกรัฐมนตรี นางซานาเอะ ทาคาอิจิของญี่ปุ่น บอกกับผู้สื่อข่าวว่าทรัมป์ได้ติดต่อมาเพื่อยืนยันความสัมพันธ์กับญี่ปุ่นอีกครั้ง และอัปเดตสถานการณ์กับจีนให้
ทาคาอิจิทราบ โดยทาคาอิจิได้ระบุถึงความสัมพันธ์อันใกล้ชิดระหว่างสหรัฐฯ และญี่ปุ่นไปในทางเป็นมันธมิตรที่แน่นแฟ้น

แต่ทว่าในช่วงกลางสัปดาห์ที่ผ่านมา ภายหลังที่ปธน.ทรัมป์ ได้โทรศัพท์พุดคุยกับปธน. สี จิ้นผิง ทางทรัมป์ได้กล่าวถึงการสนทนากับปธน.สี จิ้นผิงในทางที่ดีมาก แต่ทรัมป์ไม่ได้มีการเอ่ยถึงประเด็นเรื่องไต้หวันเลยแม้แต่น้อย ในขณะที่ไต้หวันกลับแสดงความยินดีที่ทรัมป์เลือกที่จะไม่เอ่ยถึงไต้หวันต่อสาธารณะหลังการหารือกับสี จิ้นผิง ซึ่งเป็นการแสดงให้เห็นถึงการที่ปธน.ทรัมป์ ไม่ได้เอาไต้หวันเป็นข้อต่อรองกับจีน อย่างไรก็ตาม ทางฝั่งจีนยังกดดันให้หลายประเทศเลือกข้างเพื่อรวบรวมแรงสนับสนุนด้วยการเขียนจดหมายถึงสหประชาชาติ โดยกล่าวหาญี่ปุ่นว่าละเมิดกฎหมายระหว่างประเทศ และระบุว่ากองทัพญี่ปุ่นอาจถูกดึงเข้าไปพัวพันกับความขัดแย้งในไต้หวัน อีกทั้งจีนออกคำเตือนการเดินทางต่อญี่ปุ่น ระงับการฉายภาพยนตร์ญี่ปุ่นบางเรื่อง และห้ามนำเข้าอาหารทะเลญี่ปุ่น ยิ่งไปกว่านั้น จีนยังประกาศใช้เรือลาดตระเวนในทะเลจีนตะวันออก และทางฝั่งญี่ปุ่นยืนยันแผนการติดตั้งขีปนาวุธไปยังพื้นที่ใกล้ไต้หวันอีกครั้ง
นอกจากจีนจะแสดงความไม่พอใจต่อญี่ปุ่นแล้ว จีนยังแสดงความไม่พอใจที่สหรัฐฯ เพิ่งอนุมัติแพ็กเกจที่มีมูลค่าประมาณ 330 ล้านดอลลาร์ ตามแถลงการณ์จากสำนักงานความร่วมมือด้านความมั่นคงกลาโหม (Defense Security Cooperation Agency) ซึ่งจีนได้ประท้วงการเคลื่อนไหวดังกล่าว และเรียกร้องให้สหรัฐฯ หยุดการติดอาวุธให้ไต้หวัน ในขณะที่นาย ไล่ ชิงเต๋อ ประธานาธิบดีไต้หวัน ได้มีแผนใช้จ่ายงบเพิ่มอีก 4 หมื่นล้านดอลลาร์ ซึ่งงบประมาณดังกล่าวเป็นส่วนหนึ่งของแผนที่จะเพิ่มงบกลาโหมให้เป็น 5% ของ GDP ภายในปี 2030 เพื่อเสริมสร้างการป้องกันประเทศและเป็นก้าวที่จำเป็นเพื่อยับยั้งจีนไม่ให้ใช้กำลังกับไต้หวัน แต่ทว่ายังคงต้องได้รับการอนุมัติจากสภานิติบัญญัติก่อน
จากเหตุการณ์ที่ได้กล่าวไปในข้างต้น เป็นเหตุการณ์ที่สร้างความเปราะบางให้กับ “ข้อตกลงสงบศึกทางการค้า” ระหว่างสหรัฐฯ และจีน ซึ่งเป็นข้อตกลงที่สหรัฐฯ ยอมลดกำแพงภาษีที่เกี่ยวข้องกับเฟนทานิล แลกกับการที่จีนยอมระงับข้อจำกัดในการส่งออกแร่หายาก (Rare Earths) ซึ่งเป็นวัตถุดิบสำคัญทางเทคโนโลยี ทั้งนี้ ความสัมพันธ์ที่ตึงเครียดระหว่างชาติพันธมิตรสหรัฐฯ อย่างญี่ปุ่น และจีนกำลังมีความตึงเครียด แต่ รมว.คลัง นายสก็อตต์ เบสเซนต์ ได้กล่าวเมื่อต้นเดือนพฤศจิกายนว่า มีความหวังว่าข้อตกลงแร่ธาตุหายากระหว่างสองประเทศจะเสร็จสิ้นภายในวันขอบคุณพระเจ้า วันที่ 27 พฤศจิกายน ซึ่งทำให้ตลาดยังคงจับตาประเด็นเรื่องไต้หวันที่อาจส่งผลต่อความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์และส่งผลให้ทองคำอาจได้รับปัจจัยบวกในอีกหลายสัปดาห์จนกว่าจะรู้บทสรุปที่แท้จริง

เจรจาการค้าสหรัฐฯ – EU ยังไม่ได้ข้อสรุปชัดเจน

ในช่วงต้นสัปดาห์ที่ผ่านมา รัฐมนตรีสหภาพยุโรป (EU) ได้เรียกร้องให้เจ้าหน้าที่การค้าระดับสูงของสหรัฐฯ บังคับใช้ข้อตกลงการค้าระหว่าง EU – สหรัฐฯ ในเดือนกรกฎาคมให้มากขึ้น เช่น การลดภาษีนำเข้าเหล็กจากสหภาพยุโรปของสหรัฐฯ และยกเลิกภาษีนำเข้าสินค้าจากสหภาพยุโรป เช่น ไวน์และสุรา อีกทั้ง รมว.EU มีแผนที่จะหารือเกี่ยวกับปัญหาการค้าเร่งด่วน รวมถึงข้อจำกัดในการส่งออกแร่ธาตุหายากและชิปของจีน โดยภายใต้ข้อตกลงปลายเดือนกรกฎาคม สหรัฐฯ กำหนดภาษี 15% สำหรับสินค้าส่วนใหญ่ของสหภาพยุโรป (EU) ขณะที่ EU ตกลงที่จะยกเลิกภาษีนำเข้าสินค้าจากสหรัฐฯ หลายรายการ แต่ทว่าในปัจจุบัน สหรัฐฯ เรียกเก็บภาษีโลหะในอัตรา 50% และนับตั้งแต่กลางเดือนสิงหาคมเป็นต้นมา ได้ขยายการจัดเก็บภาษีนี้ครอบคลุมไปถึงส่วนประกอบโลหะในผลิตภัณฑ์ต่อเนื่อง (derivative products) จำนวน 407 รายการ อาทิ รถจักรยานยนต์และตู้เย็น ซึ่งอาจมีการเพิ่มรายการผลิตภัณฑ์ต่อเนื่องอื่นๆ อีกในเดือนหน้า
สาเหตุที่ทำให้สหรัฐฯ – ยังไม่ยอมอ่อนข้อต่อ EU มาจากการที่ EU ได้แจ้งต่อสหรัฐฯ ว่าอาจลดกำแพงภาษีอาจเริ่มดำเนินการได้จริงในช่วงเดือนมีนาคมหรือเมษายน ปี 2026 เนื่องจากต้องได้รับความเห็นชอบจากรัฐสภายุโรปและรัฐบาลของประเทศสมาชิก EU ก่อน ซึ่งนักการทูต EU ได้ระบุว่า ความล่าช้านี้ได้สร้างความขุ่นเคืองใจให้กับทางสหรัฐฯ และมีความเป็นไปได้ที่สหรัฐฯ จะมีการเรียกเก็บภาษีครั้งใหม่ในสินค้าหมวดรถบรรทุก, แร่ธาตุสำคัญ, เครื่องบิน และกังหันลม ซึ่งอาจส่งผลให้ข้อตกลงเดือนกรกฎาคมไร้ความหมาย           นอกจากนี้ ความขุ่นเคืองใจที่สหรัฐฯ มีต่อ EU ยังมาจากการที่นาง Henna Virkkunen ผู้เชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยีของสหภาพยุโรป ได้หารือเกี่ยวกับกฎระเบียบด้านดิจิทัลกับนาย Howard Lutnick และนาย Jamieson Greer ซึ่ง Virkkunen ได้เน้นย้ำถึงความสำคัญของกฎเกณฑ์เทคโนโลยีกลางสองฉบับของสหภาพยุโรป ได้แก่ พระราชบัญญัติบริการดิจิทัล (Digital Services Act) และพระราชบัญญัติตลาดดิจิทัล (Digital Markets Act) ซึ่งควบคุมดูแลแพลตฟอร์มและตลาดออนไลน์ ทั้งนี้ ฝ่ายสหรัฐฯ ได้แสดงความไม่พอใจมานานแล้วที่ EU ปฏิบัติต่อบริษัทเทคโนโลยียักษ์ใหญ่ของอเมริกาอย่างไม่เป็นธรรม โดยชี้ให้เห็นถึงกฎระเบียบและค่าปรับมหาศาลที่สหภาพยุโรปกำหนดให้กับบริษัทต่างๆ เช่น Google ซึ่งกำลังเผชิญกับค่าปรับต่อต้านการผูกขาดเกือบ 3.4 พันล้านดอลลาร์

จากเหตุการณ์ที่ได้กล่าวไปในข้างต้น เป็นเหตุการณ์ที่แสดงให้เห็นถึงรอยร้าวระหว่างสหรัฐฯ – ชาติพันธมิตรอย่าง EU ที่ยังไม่สามารถบรรลุข้อตกลงทางการค้าอย่างเป็นทางการได้ และอาจมีความเสี่ยงที่ข้อตกลงสงบศึกภาษีทางการค้าในเดือนกรกฎาคมอาจไม่เกิดขึ้น และมีแนวโน้มส่งผลบวกต่อทองคำในฐานะสินทรัพย์ปลอดภัยท่ามกลางความไม่แน่นอนดังกล่าว

5 คนสุดท้าย ลุ้นเป็นประธานเฟดต่อจากพาวเวล

นายคริสโตเฟอร์ วอลเลอร์ ผู้ว่าการเฟด ได้กล่าวว่ามีการสัมภาษณ์รอบที่ 2 กับนายสก็อตต์ เบสเซนต์ รัฐมนตรีคลังสหรัฐฯ เมื่อช่วงกลางเดือน พฤศจิกายน ซึ่งเบสเซนต์มีหน้าที่ดูแลกระบวนการสรรหาประธานเฟดคนใหม่แทนนายเจอโรม พาวเวล ซึ่งจะหมดวาระการดำรงตำแหน่งในเดือนพฤษภาคม 2026 ซึ่งวอลเลอร์ได้กล่าวว่า ตนได้มีการพูดคุยเกี่ยวกับหลักการทางเศรษฐศาสตร์กับเบสเซนต์ได้อย่างลงตัว ในขณะที่เบสเซนต์กล่าวในช่วงเดือนตุลาคมว่า ตนจะทำการคัดเลือกรอบ 2 และหวังว่าจะสามารถเสนอรายชื่อผู้ที่เหมาะสมต่อปธน.ทรัมป์หลังวันขอบคุณพระเจ้า หรือหลังวันที่ 27 พ.ย. ทั้งนี้ เบสเซนต์ได้มีการคัดเลือกรายชื่อผู้มีคุณสมบัติเหมาะสมจนเหลือเพียง 5 คน ได้แก่ นายคริสโตเฟอร์ วอลเลอร์, นายเควิน แฮสเซต ที่ปรึกษาของปธน.ทรัมป์, นายเควิน วอร์ช อดีตผู้ว่าการเฟด, นางมิเชล โบว์แมน รองประธานเฟด และนายริก รีเดอร์ ผู้บริหารของ BankRock ซึ่งเป็นบริษัทบริหารสินทรัพย์ใหญ่ที่สุดในโลก
          ทั้งนี้ นายเควิน แฮสเซตต์ ก็เป็นอีก 1 บุคคลสำคัญที่มีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับทรัมป์ โดยทำหน้าที่ให้คำปรึกษาด้านนโยบายเศรษฐกิจ และเคยร่วมงานในสมัยทรัมป์ 1.0 มาแล้ว โดยแฮสเซตต์เห็นด้วยกับทรัมป์ว่าดอกเบี้ยควรจะต้องมีการปรับลดลงอย่างมาก และมองว่าเป็นความผิดพลาดหากเฟดจะหยุดลดดอกเบี้ยในเดือนธันวาคม โดยแฮตเซ็ตต์สนับสนุนให้เฟดลดดอกเบี้ยถึง 0.50% ในเดือนธันวาคม ซึ่งมากกว่าการลดปกติถึง 2 เท่า
          จากเหตุการณ์ที่ได้กล่าวไปในข้างต้น สามารถแสดงให้เห็นว่า ภายหลังจากที่เบสเซนต์ได้ยื่นรายชื่อให้ปธน.ทรัมป์พิจารณาและอนุมัติตำแหน่งประธานเฟดคนใหม่ได้สำเร็จ อาจทำให้เกิดภาวะ Shadow Fed จากการที่ตลาดอาจเลือกเชื่อถ้อยแถลงของว่าที่ประธานเฟดคนใหม่ แทนที่จะเป็นนายเจอโรม พาวเวล ที่เป็นประธานเฟดคนปัจจุบัน และอาจทำให้ราคาทองคำปรับตัวขึ้นจากดอลลาร์อ่อนค่า เนื่องด้วยตลาดมีความกังวลว่าเฟดอาจมีการลดดอกเบี้ยอย่างรวดเร็ว

เอกชนสหรัฐฯ เตรียมปลดพนักงาน ขณะที่แรงงานผู้อพยพลดน้อยลง
ในช่วงเดือนตุลาคม – พฤศจิกายน ตลาดแรงงานสหรัฐฯ มีแนวโน้มจะได้รับปัจจัยเสี่ยงที่อาจทำให้ตลาดแรงงานอ่อนแอ และอาจส่งผลให้เฟดต้องลดดอกเบี้ยในเดือนธันวาคม โดยบริษัทสหรัฐฯ หลายแห่งได้มีการปลดพนักงานในช่วงเดือนพฤศจิกายน อาทิเช่น 1.บริษัทคอมพิวเตอร์ HP ได้แถลงเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว โดยคาดการณ์ว่าจะมีการปลดพนักงานประมาณ 4,000 ถึง 6,000 คน 2.บริษัท Verizon ได้เริ่มปลดพนักงานมากกว่า 13,000 คน เมื่อเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมา โดยนาย Dan Schulman ผู้เป็น CEO ได้กล่าวว่าบริษัทโทรคมนาคมยักษ์ใหญ่แห่งนี้จำเป็นต้องลดความซับซ้อนของการดำเนินงานและ “ปรับทิศทาง” ของบริษัททั้งหมด 3.Procter & Gamble (P&G) ประกาศว่าจะมีการปลดพนักงานมากถึง 7,000 ตำแหน่งภายในสองปีข้างหน้า ซึ่งคิดเป็น 6% ของพนักงานทั่วโลกของบริษัท จากการปรับโครงสร้างองค์กรครั้งใหญ่ ซึ่งเกิดขึ้นท่ามกลางแรงกดดันด้านภาษีศุลกากร 4.General Motors ได้วางแผนปลดพนักงานประมาณ 1,700 คน ในโรงงานผลิตในรัฐมิชิแกนและโอไฮโอในช่วงปลายเดือนตุลาคม เนื่องจากบริษัทรถยนต์ยักษ์ใหญ่แห่งนี้กำลังปรับตัวให้เข้ากับความต้องการรถยนต์ไฟฟ้า ที่ชะลอตัวลง 5. Amazon ได้ประกาศลดตำแหน่งงานในบริษัทประมาณ 14,000 ตำแหน่งหรือเกือบ 4% ของพนักงานทั้งหมด เนื่องจากยักษ์ใหญ่ค้าปลีกออนไลน์รายนี้กำลังเพิ่มการใช้จ่ายด้าน AI ควบคู่ไปกับการลดต้นทุนในส่วนอื่นๆ 6.Target บริษัทค้าส่งยักษ์ใหญ่สหรัฐฯ ประกาศเมื่อเดือนตุลาคมว่าจะปลดพนักงานประมาณ 1,800 ตำแหน่งหรือประมาณ 8% ของพนักงานทั้งหมดทั่วโลก
นอกจากการปลดพนักงานบริษัทเอกชนจะยิ่งตอกต่ำความอ่อนแอของตลาดแรงงานแล้ว การปราบปรามแรงงานผู้อพยพยิ่งเป็นการซ้ำเติมตลาดแรงงานให้อ่อนแอลงยิ่งขึ้นไปอีก โดยปธน.ทรัมป์ ได้โพสต์ลงใน Truth Social เมื่อวันพฤหัสบดีที่ผ่านมา ณ กรุงวอชิงตัน โดยเรียกร้องให้แรงงานผู้อพยพย้ายถิ่นฐานกลับ (reverse migration) ในสหรัฐฯ พร้อมทั้งได้นำเสนอชุดมาตรการที่เป็นไปได้ในการปราบปรามการอพยพเข้าประเทศ อีกทั้งรัฐบาลสหรัฐฯ ได้วางแผนที่จะระงับการยื่นขอใบเขียว (green card) อีกด้วย ในขณะที่วันพฤหัสบดีที่ผ่านมา นายโจเซฟ เอดโลว์ หัวหน้าหน่วยงานบริการสัญชาติและคนเข้าเมืองสหรัฐฯ (US Citizenship and Immigration Services) กล่าวในโพสต์บนโซเชียลมีเดียว่าทางหน่วยงานภายใต้คำสั่งของทรัมป์ กำลังดำเนินการ การตรวจสอบอย่างเข้มข้นในระดับเต็มรูปแบบของใบเขียวทุกใบ สำหรับชาวต่างชาติทุกคนจากทุกประเทศที่น่ากังวล
จากข้อมูลข้างต้น คือสิ่งที่สามารถชี้ไปในทางเดียวกันได้ถึงตลาดแรงงานสหรัฐฯ ที่มีแนวโน้มที่อ่อนแอลงจาก 2 ปัจจัยดังกล่าว และอาจส่งผลให้ตัวเลขการจ้างงาน / อัตราการว่างงานเพิ่มสูงขึ้น เป็นปัจจัยหนุนให้เฟดลดดอกเบี้ยและทำให้ราคาทองคำมีการปรับตัวขึ้นในที่สุด

วัดใจ กรรมการมีมติ 6 : 6 (อาจ) ชี้ เฟดควรตรึงดอกเบี้ย

ต่อเนื่องมาจากช่วงต้นเดือน – กลางเดือนพฤศจิกายน คณะกรรมการเฟด FOMC ได้มีการแสดงความคิดเห็นเรื่องอัตราดอกเบี้ยในเดือนธันวาคมที่มีความแตกต่างกันอย่างชัดเจนว่า เฟดควรที่จะลดดอกเบี้ย 0.25% หรือไม่ ซึ่งสามารถแบ่งออกเป็น 2 ฝ่าย ได้แก่ 1.ฝ่ายที่ต้องการลดดอกเบี้ย เนื่องด้วยภาวะตลาดแรงงานที่อ่อนแอและมีมุมมองว่าเงินเฟ้ออันเนื่องมาจากภาษีศุลกากรของปธน.ทรัมป์เป็นเพียงเรื่องที่เกิดขึ้นชั่วคราว นำโดย นายฟิลลิป เจฟเฟอร์สัน รองประธานเฟด , ผู้ว่าการเฟดทั้ง 3 คน ได้แก่ นายคริสโตเฟอร์ วอลเลอร์ / นายสตีเฟน มิแรน / นางลิซ่า คุก และประธานเฟดสาขานิวยอร์ก นายจอห์น วิลเลียม 2.ฝ่ายที่ต้องการตรึงดอกเบี้ย เนื่องด้วยอัตราเงินเฟ้อยังไม่กลับตัวลงมาสู่ 2% อย่างมีเสถียรภาพ และภาษีศุลกากรของปธน.ทรัมป์อาจยังคงเป็นปัจจัยที่ยืดเยื้อ นำโดยนายเจอโรม พาวเวล ประธานเฟด , ผู้ว่าการเฟด นายไมเคิล บาร์ และประธานเฟดสาขาบอสตัน / แคนซัสซิตี้ / เซนต์หลุยส์ / ชิคาโก ซึ่งมติดังกล่าวคิดเป็น 6:5 เสียง และหากมีการรวมนางมิเชล โบว์แมน อีก 1 คน ที่ไม่ได้มีการออกเสียง โดยยึดหลักอ้างอิงจากการประชุม FOMC เมื่อวันที่ 28-29 ตุลาคม เข้าไปด้วยแล้ว อาจทำให้คณะกรรมการเฟด มีมติ 6:6 เสียงในการลดดอกเบี้ยในวันที่ 9-10 ธันวาคมนี้ อย่างไรก็ตาม ตลาดยังคงต้องติดตามดูสถานการณ์ของคณะกรรมการเฟดต่อไปว่า ในการประชุม FOMC ต่อจากนี้ กรรมการเฟดจะมีมติเห็นชอบต่อดอกเบี้ยอย่างไรบ้างในอนาคต

ตัวเลขเศรษฐกิจที่สำคัญในสัปดาห์หน้า

  • ดัชนี PMI ภาคการผลิตจาก ISM เดือนพ.ย. และ ดัชนีราคาภาคการผลิตจาก ISM เดือนพ.ย.
  • การจ้างงานนอกภาคเกษตรจาก ADP เดือน พ.ย.
  • ดัชนี PMI ภาคการบริการ ISM เดือน พ.ย.
  • จำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์
  • ดัชนีการบริโภคส่วนบุคคลพื้นฐาน / ทั่วไป เทียบรายเดือน / รายปี เดือน ก.ย.

แนวโน้มราคาทอง

ราคาทองคำโลกในสัปดาห์นี้คาดว่าในทางเทคนิคยังคงทรงตัวในกรอบ Expanding Triangle ซึ่งเป็นการสะท้อนถึงภาวะ “ทยอยฟื้นตัว” หลังจากที่ตลาดได้รับรู้ปัจจัยบวกทางด้านความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ / การค้าระหว่าง จีน-ไต้หวัน และ สหรัฐฯ-EU ตามลำดับ รวมถึงตลาดแรงงานที่มีแนวโน้มอ่อนแอต่อเนื่อง อาจส่งผลให้ทองคำปรับตัวขึ้นทดสอบแนวต้านสำคัญที่ 4,300 และ 4,375 ดอลลาร์ ซึ่งอาจกระตุ้นแรงซื้อในตลาดทองคำได้รอบใหม่ อย่างไรก็ตาม หากตลาดรับรู้ปัจจัยลบจากความไม่แน่นอนในการลดดอกเบี้ยของเฟดในวันที่ 9 ธันวาคม เนื่องด้วยภาวะเงินเฟ้อที่ยังเสี่ยงที่จะขยายตัวขึ้น อาจทำให้ทองคำปรับตัวลงทดสอบแนวรับสำคัญที่ 4,100 และ 4,020 ดอลลาร์ ซึ่งหากหลุดแนวรับดังกล่าว อาจกระตุ้นให้ตลาดมีการปรับตัวลงอย่างต่อเนื่องได้เช่นกัน

สำหรับทองคำแท่งในประเทศ แนะนำให้นักลงทุน ทยอยสะสมเมื่อราคาปรับตัวลง ใกล้บริเวณ 62,450 บาท โดยมีจุดตัดขาดทุนที่ 61,500 บาท ขณะที่แนวต้านอยู่ที่ 64,800 บาท และ 66,100 บาท

image 10

ดาวน์โหลดเอกสาร

แชร์บทความนี้

บทความที่เกี่ยวข้อง

 
Cover 1000x670 11

Holiday Report 05-12-2568

08:30 น.

 
Cover 1000x670 10

Night Recap Gold Spot 04-12-2568

15:25 น.

 
Cover 1000x670 02

Night Recap Gold Futures 04-12-2568

15:21 น.

 
Cover 1000x670 01

Daily Recap Gold Futures 04-12-2568

08:43 น.

คำถามที่พบบ่อย

เกี่ยวกับเรา

พูดคุยกับเรา

พบเจอปัญหา หรือมีข้อสงสัย
ทักหาเราได้เลยที่นี่

เวลาทำการลูกค้าสัมพันธ์
จันทร์ - ศุกร์ 08.30 น. - 24.00 น.
เสาร์ - อาทิตย์ 08.30 น. - 17.30 น.

For the best experience, we recommend viewing the site in portrait orientation on mobile devices.

ไอคอน PDPA

เว็บไซต์นี้ใช้คุกกี้เพื่อปรับปรุงประสบการณ์การใช้งาน กรุณาดูข้อมูลเพิ่มเติมที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และตั้งค่าคุกกี้ได้ที่ ตั้งค่า

ตั้งค่าความเป็นส่วนตัว

You can choose your cookie settings by enabling/disabling cookies for each category as needed, except for necessary cookies.

ยอมรับทั้งหมด
จัดการความเป็นส่วนตัว
  • คุกกี้ที่จำเป็นสำหรับการทำงานพื้นฐานของเว็บไซต์
    เปิดใช้งานตลอด

    คุกกี้เหล่านี้จำเป็นสำหรับการทำงานพื้นฐานของเว็บไซต์ เช่น การรักษาการล็อกอินของผู้ใช้ การบันทึกสินค้าที่เพิ่มลงในรถเข็น และการบันทึกการตั้งค่าภาษา
    รายละเอียดคุกกี้

  • คุกกี้วิเคราะห์เพื่อปรับปรุงประสบการณ์การใช้งาน

    คุกกี้เหล่านี้ใช้เพื่อรวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับการใช้งานเว็บไซต์ เช่น จำนวนผู้เข้าชม, หน้าเว็บที่ได้รับความนิยม และพฤติกรรมการท่องเว็บ ซึ่งช่วยให้เจ้าของเว็บไซต์ปรับปรุงประสบการณ์การใช้งานของผู้ใช้ได้
    รายละเอียดคุกกี้

  • คุกกี้การทำงานเพื่อจดจำการตั้งค่าผู้ใช้

    คุกกี้เหล่านี้ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการใช้งานเว็บไซต์ โดยจดจำการตั้งค่าที่ผู้ใช้เคยกำหนดไว้ เช่น ชื่อผู้ใช้, ภาษา, ภูมิภาค หรือการปรับแต่งเว็บไซต์ตามความต้องการ
    รายละเอียดคุกกี้

  • คุกกี้ของบุคคลที่สามเพื่อการวิเคราะห์และการตลาด

    คุกกี้เหล่านี้ถูกตั้งค่าโดยบุคคลที่สาม เช่น ผู้ให้บริการวิเคราะห์ข้อมูลหรือผู้ให้บริการโฆษณา และใช้เพื่อวัตถุประสงค์ต่าง ๆ เช่น การวิเคราะห์เว็บไซต์และการทำการตลาด
    รายละเอียดคุกกี้

  • คุกกี้โฆษณาเพื่อแสดงโฆษณาที่ตรงกับความสนใจ

    คุกกี้เหล่านี้ใช้เพื่อติดตามการใช้งานของผู้ใช้บนเว็บไซต์ต่าง ๆ และแสดงโฆษณาที่ตรงกับความสนใจของผู้ใช้มากขึ้น ซึ่งมักจะใช้โดยเครือข่ายโฆษณาภายนอก
    รายละเอียดคุกกี้

บันทึกการตั้งค่า