Desktop 1550x550 13

แนวโน้มตลาดและการลงทุน

ทองคำวัดใจ รับแรงหนุนฟองสบู่ AI  เช็คช่วยชาติสหรัฐฯ ไม่คุ้ม – แต่ระวังกับดักเฟด และดุลการค้า ฉุดทองร่วง

24 พฤศจิกายน 2568|09:46 น.

Gold Bullish

  • ฟองสบู่หุ้น AI อาจหนุนสินทรัพย์ปลอดภัย
  • เช็คช่วยชาติสหรัฐฯ 2,000 ดอลลาร์ อาจได้ไม่คุ้มเสีย?

Gold Bearish

  • กรรมการเฟดเสียงแตก 6 : 4 ชี้ เฟดควรตรึงดอกเบี้ยเดือนธ.ค.
  • สหรัฐฯ ลดการขาดดุลการค้า ดอลลาร์แข็งค่า

สัปดาห์ที่ผ่านมา ราคาทองคำปรับตัวลง (-20.06) ดอลลาร์ หรือราว 0.49% สู่ระดับ 4,064 ดอลลาร์ จากการที่กรรมการเฟดได้มีความคิดเห็นที่ขัดแย้งกันอย่างสิ้นเชิงในการลดดอกเบี้ย 0.25% ในเดือนธันวาคมนี้ ในขณะที่การขาดดุลการค้าสหรัฐฯ ที่ลดลงเป็นปัจจัยหนุนให้ดอลลาร์แข็งค่าและกดดันทองคำให้มีการปรับฐานลง อย่างไรก็ตาม ในสัปดาห์นี้ยังคงมีปัจจัยบวก / กดดันต่อราคาทองที่ส่งผลต่อเนื่องมาจากอดีต และปัจจัยสำคัญที่มีผลต่อสัปดาห์นี้โดยตรง ดังนี้

ฟองสบู่หุ้น AI อาจหนุนสินทรัพย์ปลอดภัย

ในปัจจุบัน ความกังวลของตลาดเกี่ยวกับภาวะฟองสบู่ AI ในสินทรัพย์หลักอย่างตลาดหุ้นกำลังก่อตัวขึ้น โดยนาย Michael Burry นักลงทุนชื่อดังที่ได้รับสมญานามว่า The Big Short ในสมัยวิกฤติซับไพรม์เมื่อปี 2008 ได้ออกมากล่าวว่า บริษัทเทคโนโลยียักษ์ใหญ่สหรัฐฯ ได้มีการลงทุนไขว้กับสลับไปมาในระบบนิเวศของอุตสาหกรรม AI เพื่อทำให้งบแสดงฐานะทางการเงิน และ งบกำไรขาดทุนดูดีเกินกว่าความเป็นจริง อาทิเช่นเมื่อ Microsoft ทุ่มเงินลงทุนมหาศาลหลายพันล้านดอลลาร์ให้กับสตาร์ทอัพด้านปัญญาประดิษฐ์อย่าง OpenAI (ผู้พัฒนา ChatGPT) ซึ่ง OpenAI ก็นำเงินลงทุนที่ได้รับนั้นไปซื้อบริการ Cloud Computing (Azure) จาก Microsoft และ/หรือ ซื้อชิปประมวลผล AI จาก Nvidia Microsoft เมื่อได้รับรายได้จาก Azure ก็จะนำไป “ขยายโครงสร้างพื้นฐาน” ด้าน AI ของตนเอง ซึ่งรวมถึงการสั่งซื้อชิปจาก Nvidia จำนวนมหาศาล เพื่อรองรับความต้องการของ OpenAI และลูกค้า AI อื่นๆ ซึ่งจากกลไกนี้ ทำให้ปริมาณเงินยังคงวนเวียนอยู่ภายในระบบนิเวศของบริษัททั้งสาม ได้แก่ OpenAI, Microsoft และ Nvidia นั่นเอง โดยหากจะให้มองในมุมมองทั้งหมด จะสามารถแสดงภาพออกมาได้ดังนี้

image 268
ที่มา : Bloomberg

นอกจากนี้ Burry ยังได้แสดงให้เห็นถึงการบันทึกค่าเสื่อมราคาของบริษัทเทคโนโลยียักษ์ใหญ่สหรัฐฯ ที่ต่ำกว่าความเป็นจริงโดยการขยายอายุการใช้งานของสินทรัพย์เพื่อทำให้กำไรในส่วนของงบกำไร-ขาดทุนเพิ่มขึ้นอย่างไม่เป็นธรรม โดยเบอร์รีคาดการณ์ว่าวิธีการบัญชีนี้อาจประเมินค่าเสื่อมราคาต่ำกว่าความเป็นจริงประมาณ 176 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ระหว่างปี 2569 ถึง 2571 ส่งผลให้กำไรที่รายงานทั่วทั้งอุตสาหกรรมสูงเกินจริง ในขณะที่นาย Sundar Pichai ผู้เป็น CEO ของ Google ได้กล่าวว่า มูลค่าของบริษัทเทคโนโลยีในปัจจุบันมีมูลค่า / การลงทุนจำนวนมากเกินความเป็นจริงและมีความเสี่ยงในการเกิดฟองสบู่ โดย ณ วันที่ 19 พฤศจิกายน PE ของ S&P 500 ได้ปรับตัวขึ้นสูงถึง 27 เท่า ซึ่งเป็นระดับที่สูงที่สุดเป็นประวัติการณ์ ซึ่งอาจส่งผลให้ดัชนี S&P 500 การมีการปรับฐานลง และเป็นปัจจัยบวกต่อทองคำในฐานะสินทรัพย์ปลอดภัยหรือ Save Haven ในจังหวะที่สินทรัพย์หลักอย่างหุ้นมีความผันผวน

เช็คช่วยชาติสหรัฐฯ 2,000 ดอลลาร์ อาจได้ไม่คุ้มเสีย?

เมื่อวันที่ 4 พฤศจิกายน พรรคเดโมแครต ได้ขนะการเลือกตั้งพรรครีพับลิกันในรัฐ Virginia และรัฐ New Jersey ในตำแหน่งผู้ว่าการรัฐ อีกทั้งยังชนะการเลือกตั้งนายกเทศมนตรีในเมือง New York City อีกด้วย ส่งผลให้ในเวลาต่อมา ปธน.ทรัมป์จึงได้ยอมลดหย่อนภาษีนำเข้าเนื้อวัว กาแฟ ชา น้ำผลไม้ โกโก้ เครื่องเทศ กล้วย ส้ม มะเขือเทศ และปุ๋ยบางชนิดโดยกล่าวว่าภาษีนำเข้าอาจเป็นปัจจัยที่ทำให้ราคาสูงขึ้นในบางกรณี นอกจากนี้ ปธน.ทรัมป์ยังได้มีการผลักดันแนวคิดในการนำเอาภาษีศุลกากรที่สหรัฐฯ เก็บได้ในปีนี้จำนวน 195,000 ล้านดอลลาร์ เพื่อผลักดันนโยบาย “เช็คช่วยชาติสหรัฐฯ 2,000 ดอลลาร์” ให้แก่ชาวอเมริกันที่เป็นชนชั้นกลางของสังคม โดยมีการคาดการณ์ว่าจะเป็นช่วงกลางปีหน้า ในขณะที่นายสกอตต์ เบสเซนต์ รมว.คลังสหรัฐฯ มีแนวทางมุ่งเน้นที่การลดภาษีแบบเดิมและอาจมีการลดภาษีใหม่ๆ แทนการแจกเช็คเงินสด เช่น การไม่เก็บภาษีจากทิปและค่าล่วงเวลา (OT) หรืออาจมีในรูปแบบการลดภาษีผ่านช่องทางอื่นๆ ซึ่งกระบวนการดังกล่าวนี้จำเป็นต้องสู่รัฐสภาเพื่อให้มีการพิจารณาอนุมัติก่อน

อย่างไรก็ตาม หากแนวคิด “เช็คช่วยชาติสหรัฐฯ 2,000 ดอลลาร์” ได้เริ่มมีการดำเนินการเชิงนโยบายจริงหรือเริ่มมีการถูกผลักดันเป็นนโยบาย คณะกรรมการเพื่องบประมาณรัฐบาลกลางอย่างรับผิดชอบ (Committee for a Responsible Federal Budget) ได้ประเมินว่า การอัดฉีดเงินเข้าสู่ระบบนี้ อาจมีต้นทุนประมาณ 6 แสนล้านดอลลาร์ ในการดำเนินการ ซึ่งจะเป็นการเพิ่มภาระทางการคลังให้สูงขึ้นเพิ่มเติมจากกฎหมาย One Big Beautiful Act. ในขณะที่แนวทางในการลดภาษีของเบสเซนต์เองก็อาจทำให้ปริมาณเงินสด + เงินฝากในบัญชีธนาคารของประชาชนในระบบเศรษฐกิจ หรือ M2 พุ่งสูงขึ้น ซึ่งอาจเป็นการกระตุ้นเงินเฟ้อระลอกใหม่ได้อีกครั้ง และส่งผลให้ดอลลาร์อ่อนค่า ทองคำปรับตัวขึ้นในที่สุด

กรรมการเฟดเสียงแตก 6 : 4 ชี้ เฟดควรตรึงดอกเบี้ย

เมื่อวันจันทร์ที่ 17 พฤศจิกายน นายฟิลลิป เจฟเฟอร์สัน (Philip Jefferson) รองประธานเฟด ได้ออกมายอมรับว่า อัตราเงินเฟ้อได้หยุดชะงักอยู่ในระดับเกือบ 3% ซึ่งสูงกว่าเป้าหมายที่ 2% แต่เจฟเฟอร์สันได้ให้น้ำหนักอย่างชัดเจนว่า ปัญหานี้มีสาเหตุหลักมาจากผลกระทบของภาษีศุลกากร (tariff effects) ที่อาจเป็นผลกระทบเชิงลบเพียงครั้งเดียว ซึ่งไม่ใช่ปัญหาเงินเฟ้อในระยะยาวที่มีความยืดเยื้อ อีกทั้งเจฟเฟอร์สันแสดงความกังวลอย่างชัดเจนต่อภารกิจของเฟดที่ต้องคงไว้ซึ่งการจ้างงานสูงสุด โดยเจฟเฟอร์สันระบุว่าตลาดแรงงานกำลังชะลอตัวลงอย่างค่อยเป็นค่อยไปทั้งในด้านอุปสงค์และอุปทาน และมองว่าความเสี่ยงต่อการจ้างงานนั้นเอนเอียงไปทางขาลง ซึ่งการลดดอกเบี้ยในเดือนที่ผ่านมาอาจยังไม่เพียงพอที่จะพยุงเศรษฐกิจให้กลับสู่จุดสมดุล
ในเวลาต่อมาเมื่อวันอังคารที่ 18 พฤศจิกายน นายคริสโตเฟอร์ วอลเลอร์ ผู้ว่าการเฟด ได้ออกมาแสดงความเห็นที่เหมือนกันกับเจฟเฟอร์สันเช่นกัน และในวันพุธที่ 19 พฤศจิกายน นายสตีเฟน มิแรน ผู้ว่าการเฟด ได้ออกมาแสดงความเห็นว่า ตนได้สนับสนุนให้เฟดยุติการลดขนาดงบดุล (ยุติการทำ QT) โดยทันทีตั้งแต่การประชุม FOMC วันที่ 29 ตุลาคม แทนที่จะรอจนถึงวันที่ 1 ธันมาคม และเฟดจำเป็นต้องกลับมาซื้อพันธบัตรรัฐบาลอีกครั้งในเชิงเทคนิค เพื่อบริหารจัดการสภาพคล่องในตลาดโดยรวม อีกทั้งมิแรนยังเสนอให้เฟดลดกฎระเบียบข้อบังคับในการถือเงินสด / สินทรัพย์สำรองของแบงก์พาณิชย์ เพื่อเป็นการให้ส่วนต่างของเงินสำรองที่แบงก์พาณิชย์นี้ไหลกลับเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจผ่านการกู้ยืม ปิดท้ายด้วยวันศุกร์ที่ 21 พฤศจิกายน นายจอห์น วิลเลียม ประธานเฟดสาขานิวยอร์ก ได้กล่าวว่า เฟดยังคงสามารถปรับลดอัตราดอกเบี้ยในระยะใกล้ได้โดยไม่ทำให้เป้าหมายเงินเฟ้อตกอยู่ในความเสี่ยงหรือเกิดภาวะเงินเฟ้อเรื้อรัง ขณะที่ตลาดงานมีแนวโน้มจะชะลอตัวลง โดยอัตราการว่างงานเพิ่มขึ้นในเดือนกันยายนสู่ระดับ 4.4% ซึ่งเทียบได้กับช่วงก่อนเกิด Covid-19 ซึ่งจากคำกล่าวของผู้ว่าการเฟด / ประธานเฟดข้างต้น อาจทำให้ปริมาณเงินระบบ M3 สูงขึ้น และมีความเสี่ยงกระตุ้นเงินเฟ้อให้กลับมาอีกครั้ง
อย่างไรก็ตาม ในช่วงวันที่ 10 – 14 พฤศจิกายน ประธานเฟดสาขาบอสตัน / แคนซัสซิตี้ / เซนต์หลุยส์ / ชิคาโก / ผู้ว่าเฟด นายไมเคิล บาร์ รวมแล้ว 5 คน (มีสิทธิโหวดปรับขึ้น / ลดอัตราดอกเบี้ยปี 2025) ได้แสดงถึงความไม่แน่นอนในการลดดอกเบี้ยในเดือนธ.ค.นี้ จากภาวะเงินเฟ้อที่ยังมีแนวโน้มขยายตัวขึ้น อันเกิดจากภาษีการค้าของปธน.ทรัมป์ ซึ่งเป็นแนวทางมีความขัดแย้งกันกับเจฟเฟอร์สัน / วอลเลอร์ และ มิแรน ทั้งนี้ มุมมองในการตรึงดอกเบี้ยดังกล่าวมีความสอดคล้องกับนายเจอโรม พาวเวล ประธานเฟด ในการประชุม FOMC ในวันที่ 28-29 ต.ค. ส่งผลให้ปัจจัยทั้งหมดที่ได้กล่าวไปข้างต้นนี้ จะยังคงเป็นความคลุมเครือให้กับตลาดว่าต่อไปว่า เฟดจะสามารถลดดอกเบี้ย 0.25% ในเดือนธ.ค. ได้อย่างแท้จริงหรือไม่?

สหรัฐฯ ลดการขาดดุลการค้า ดอลลาร์แข็งค่า

เมื่อวันที่ 19 พฤศจิกายน สหรัฐฯ ได้เผยตัวเลขยอดขาดดุลการค้าลดลงสู่ระดับ 5.96 หมื่นล้านดอลลาร์ ในเดือนกันยายน จากที่นัดวิเคราะห์คาดการณ์ว่าการขาดดุลการค้าจะลดลงเหลือ 6.1 หมื่นล้านดอลลาร์ และน้อยกว่าเดือนกรกฎาคมที่ 7.83 หมื่นล้านดอลลาร์ โดยการนำเข้าลดลง 5.1% เหลือ 34.04 หมื่นล้านดอลลาร์ ขณะที่การส่งออกเพิ่มขึ้น 0.1% เป็น 28.08 หมื่นล้านดอลลาร์ แต่ทว่า การขาดดุลการค้าของสหรัฐฯ ยังคงเพิ่มขึ้นในปี 2025 โดยอยู่ที่ 713,600 ล้านดอลลาร์ ตั้งแต่มกราคม – สิงหาคม เพิ่มขึ้นร้อยละ 25 จาก 571,100 ล้านดอลลาร์ในช่วงเดือนมกราคม-สิงหาคม 2024 ทั้งนี้ นาย Bill Adams หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์ของธนาคาร Comerica ได้กล่าวว่า การขาดดุลการค้าที่ลดลงในเดือนสิงหาคมจะเป็นปัจจัยหนุน GDP สหรัฐฯ ในไตรมาสที่สาม เนื่องจากการใช้จ่ายของสหรัฐฯ มุ่งเน้นไปที่สินค้าและบริการที่ผลิตในประเทศมากกว่าการนำเข้าจากต่างประเทศ แม้ว่าการผลตัวเลขดุลการค้าจะค่อนข้างล้าสมัยเนื่องจากการปิดหน่วยงานของรัฐบาล แต่ก็เป็นหลักฐานที่บ่งชี้ว่าเศรษฐกิจสหรัฐฯ กำลังเติบโตอย่างรวดเร็ว อย่างไรก็ตาม สำนักงบประมาณแห่งสภาคองเกรส (Congressional Budget Office หรือ CBO) ได้ปรับแก้ประมาณการผลกระทบของภาษีศุลกากรของปธน.ทรัมป์ โดยระบุว่าภาษีดังกล่าวจะช่วยลดการขาดดุลได้เพียง 3 ล้านล้านดอลลาร์ภายในปี 2035 จาก
4 ล้านล้านดอลลาร์ตามที่เคยคาดการณ์ไว้เมื่อเดือนสิงหาคม ซึ่งจากปัจจัยข้างต้น ส่งผลให้ราคาทองคำอาจยังได้รับแรงกดดันระยะสั้น จากดอลลาร์ที่มีโอกาสแข็งค่าได้อีกในระยะหนึ่ง

ตัวเลขเศรษฐกิจที่สำคัญในสัปดาห์นี้

  • ดัชนีราคาผู้ผลิตพื้นฐานและทั่วไปเดือนก.ย. เทียบรายเดือน / ปี
  • ยอดค้าปลีกเดือนก.ย. เทียบรายเดือน / รายปี
  • จีดีพีไตรมาส 3 q/q
  • ดัชนีการบริโภคส่วนบุคคลพื้นฐานและทั่วไปเทียบรายเดือน / รายปี เดือน ก.ย.
  • จำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์

แนวโน้มราคาทอง

ราคาทองคำโลกในสัปดาห์นี้คาดว่าในทางเทคนิคยังคงทรงตัวในกรอบ Expanding Triangle ซึ่งเป็นการสะท้อนถึงภาวะ “Sideway Up” หลังจากที่ตลาดได้เริ่มมีความกังวลฟองสบู่ AI และเช็คช่วยชาติสหรัฐฯ ที่อาจส่งผลให้เกิดภาวะเงินเฟ้อ อีกทั้งกรรมการเฟดบางส่วนได้มีมุมมองในการลดดอกเบี้ย 0.25% ในเดือนธ.ค. อาจส่งผลให้ทองคำปรับตัวขึ้นทดสอบแนวต้านสำคัญที่ 4,250 และ 4,345 ดอลลาร์ ซึ่งอาจกระตุ้นให้ตลาดมีการปรับตัวขึ้นอย่างต่อเนื่อง อย่างไรก็ตามหากตลาดรับรู้ปัจจัยลบจากกรรมการเฟดส่วนใหญ่มีมติตรึงดอกเบี้ย และการขาดดุลการค้าที่ลดลงซึ่งอาจส่งผลให้ภาวการณ์คลังของสหรัฐฯ เริ่มมีเสถียรภาพมากขึ้น ก็อาจทำให้ทองคำปรับตัวลงทดสอบแนวรับสำคัญที่ 4,010 และ 3,900 ดอลลาร์ ซึ่งอาจกระตุ้นแรงขายในตลาดทองคำในรอบใหม่ได้เช่นกัน

สำหรับทองคำแท่งในประเทศ แนะนำให้นักลงทุน ทยอยสะสมเมื่อราคาปรับตัวลง ใกล้บริเวณ 61,700 บาท โดยมีจุดตัดขาดทุนที่ 61,200 บาท ขณะที่แนวต้านอยู่ที่ 63,400 บาท และ 63,900 บาท

image 268

ดาวน์โหลดเอกสารได้ที่

แชร์บทความนี้

บทความที่เกี่ยวข้อง

 
Cover 1000x670 11

Holiday Report 05-12-2568

08:30 น.

 
Cover 1000x670 10

Night Recap Gold Spot 04-12-2568

15:25 น.

 
Cover 1000x670 02

Night Recap Gold Futures 04-12-2568

15:21 น.

 
Cover 1000x670 01

Daily Recap Gold Futures 04-12-2568

08:43 น.

คำถามที่พบบ่อย

เกี่ยวกับเรา

พูดคุยกับเรา

พบเจอปัญหา หรือมีข้อสงสัย
ทักหาเราได้เลยที่นี่

เวลาทำการลูกค้าสัมพันธ์
จันทร์ - ศุกร์ 08.30 น. - 24.00 น.
เสาร์ - อาทิตย์ 08.30 น. - 17.30 น.

For the best experience, we recommend viewing the site in portrait orientation on mobile devices.

ไอคอน PDPA

เว็บไซต์นี้ใช้คุกกี้เพื่อปรับปรุงประสบการณ์การใช้งาน กรุณาดูข้อมูลเพิ่มเติมที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และตั้งค่าคุกกี้ได้ที่ ตั้งค่า

ตั้งค่าความเป็นส่วนตัว

You can choose your cookie settings by enabling/disabling cookies for each category as needed, except for necessary cookies.

ยอมรับทั้งหมด
จัดการความเป็นส่วนตัว
  • คุกกี้ที่จำเป็นสำหรับการทำงานพื้นฐานของเว็บไซต์
    เปิดใช้งานตลอด

    คุกกี้เหล่านี้จำเป็นสำหรับการทำงานพื้นฐานของเว็บไซต์ เช่น การรักษาการล็อกอินของผู้ใช้ การบันทึกสินค้าที่เพิ่มลงในรถเข็น และการบันทึกการตั้งค่าภาษา
    รายละเอียดคุกกี้

  • คุกกี้วิเคราะห์เพื่อปรับปรุงประสบการณ์การใช้งาน

    คุกกี้เหล่านี้ใช้เพื่อรวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับการใช้งานเว็บไซต์ เช่น จำนวนผู้เข้าชม, หน้าเว็บที่ได้รับความนิยม และพฤติกรรมการท่องเว็บ ซึ่งช่วยให้เจ้าของเว็บไซต์ปรับปรุงประสบการณ์การใช้งานของผู้ใช้ได้
    รายละเอียดคุกกี้

  • คุกกี้การทำงานเพื่อจดจำการตั้งค่าผู้ใช้

    คุกกี้เหล่านี้ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการใช้งานเว็บไซต์ โดยจดจำการตั้งค่าที่ผู้ใช้เคยกำหนดไว้ เช่น ชื่อผู้ใช้, ภาษา, ภูมิภาค หรือการปรับแต่งเว็บไซต์ตามความต้องการ
    รายละเอียดคุกกี้

  • คุกกี้ของบุคคลที่สามเพื่อการวิเคราะห์และการตลาด

    คุกกี้เหล่านี้ถูกตั้งค่าโดยบุคคลที่สาม เช่น ผู้ให้บริการวิเคราะห์ข้อมูลหรือผู้ให้บริการโฆษณา และใช้เพื่อวัตถุประสงค์ต่าง ๆ เช่น การวิเคราะห์เว็บไซต์และการทำการตลาด
    รายละเอียดคุกกี้

  • คุกกี้โฆษณาเพื่อแสดงโฆษณาที่ตรงกับความสนใจ

    คุกกี้เหล่านี้ใช้เพื่อติดตามการใช้งานของผู้ใช้บนเว็บไซต์ต่าง ๆ และแสดงโฆษณาที่ตรงกับความสนใจของผู้ใช้มากขึ้น ซึ่งมักจะใช้โดยเครือข่ายโฆษณาภายนอก
    รายละเอียดคุกกี้

บันทึกการตั้งค่า