ราคาทองเตรียมเลือกทาง ตลาดยังคาดหวังความคืบหน้าเจรจาการค้าสหรัฐฯ
Gold Bullish
- อียูเตรียมแผนตอบโต้ภาษีสหรัฐฯ
- ทรัมป์พิจารณาเก็บภาษียาและเซมิคอนดักเตอร์
- พาวเวลเผชิญแรงกดดัน ทรัมป์ต้องการลดดอกเบี้ย
Gold Bearish
- ตลาดคาดอินเดียจะสามารถบรรลุข้อตกลงกับสหรัฐฯ ได้เป็นประเทศถัดไป
- อิสราเอล-ซีเรีย บรรลุข้อตกลงหยุดยิง
ราคาทองโลกเคลื่อนไหวในกรอบ Sideways ที่ระดับ 3,310 – 3,375 ดอลลาร์ ตลอดทั้งสัปดาห์ปิดตลาดปรับลดลง (-5.22) ดอลลาร์ ที่ระดับ 3,349.5 ดอลลาร์ นักลงทุนยังกังวลการเจรจาการค้าสหรัฐฯ กับประเทศคู่ค้าอาจไม่คืบหน้า โดยเฉพาะสหภาพยุโรปเตรียมสวนมาตรการเก็บภาษีตอบโต้สินค้านำเข้าจากสหรัฐฯ อีกทั้งตลาดการเงินทั่วโลกผันผวนหนัก เจ้าหน้าที่ระดับสูงของทำเนียบขาวมีแผนปลดนายเจอโรม พาวเวล ประธานเฟด
อินโดนีเซีย ปิดดีลการค้าสหรัฐฯ ได้เป็นประเทศที่ 3
โดนัลด์ ทรัมป์ ประกาศบรรลุข้อตกลงการค้ากับอินโดนีเซีย ลดภาษีต่างตอบแทนจาก 32% เหลือ 19% แลกกับการเปิดตลาดรับสินค้ามูลค่ากว่าหมื่นล้านดอลลาร์จากสหรัฐฯ ภายใต้ข้อตกลงนี้ อินโดนีเซียจะซื้อพลังงานจากสหรัฐฯ มูลค่า 1.5 หมื่นล้านดอลลาร์, ซื้อผลิตภัณฑ์ทางการเกษตรมูลค่า 4.5 พันล้านดอลลาร์ และซื้อเครื่องบินโบอิ้งอีก 50 ลำ โดยมีหลายลำที่เป็นโบอิ้ง 777 ขณะเดียวกัน เจ้าของฟาร์มปศุสัตว์, เกษตรกรและชาวประมง จะสามารถเข้าถึงตลาดของอินโดนีเซียได้ทั้งหมดด้วย นอกจากนั้น สหรัฐฯ จะเก็บภาษีสินค้าอินโดนีเซียทุกชนิดที่นำเข้าสู่สหรัฐฯ ในอัตรา 19% ส่วนสินค้าสหรัฐฯ จะเข้าสู่อินโดนีเซียโดยปลอดภาษีและมาตรการกำแพงทางการค้าที่ไม่ใช่ภาษี หากมีสินค้าอินโดนีเซียที่ส่งผ่านประเทศที่มีอัตราภาษีสูงกว่า ภาษีนั้นจะถูกเพิ่มเข้าไปในภาษีที่อินโดนีเซียจะต้องจ่าย
ก่อนหน้านี้สหรัฐฯ ได้บรรลุข้อตกลงการค้ากับสหราชอาณาจักร ในวันที่ 8 พ.ค. เป็นประเทศแรก และ เวียดนาม ในวันที่ 2 ก.ค. ที่ผ่านมา แต่ข้อตกลงกับเวียดนามนั้นยังไม่ได้มีการเซ็นยอมรับเป็นลายลักษณ์อักษร ล่าสุดทรัมป์เผยว่า ข้อตกลงการค้ากับเวียดนามกำลังเข้าสู่ขั้นตอนสุดท้าย โดยเตรียมลดภาษีนำเข้าสินค้าจากเวียดนามจาก 46% เหลือ 20% ขณะที่สินค้าที่ถูกมองว่าลักลอบส่งผ่านเวียดนามจะถูกเก็บภาษี 40% อย่างไรก็ตาม ยังไม่มีการยืนยันรายละเอียดจากทางการเวียดนาม และยังไม่มีความชัดเจนเกี่ยวกับนิยามของ “การส่งผ่านผิดกฎหมาย” หรือสินค้าที่อยู่ภายใต้อัตราภาษีใหม่
อียูเตรียมแผนโต้กลับ หากเจรจากับสหรัฐฯ ไม่คืบหน้า
ขณะที่สหภาพยุโรป (EU) เตรียมบังคับใช้มาตรการเก็บภาษีตอบโต้สินค้านำเข้าจากสหรัฐ มูลค่ากว่า 72,000 ล้านยูโร หากสหรัฐเดินหน้าปรับขึ้นภาษีสินค้านำเข้าจาก EU เป็น 15-20% ตั้งแต่วันที่ 1 สิงหาคมนี้ ซึ่งจะเป็นการเพิ่มขึ้นจากภาษีฐานเดิมที่ 10% โดยมาตรการดังกล่าวมีเป้าหมายเพื่อปกป้องอุตสาหกรรมภายในยุโรปและรักษาสมดุลทางการค้า รายการสินค้าที่อาจถูกเก็บภาษีครอบคลุมหลายภาคส่วนหลัก อาทิ อากาศยาน เครื่องจักร รถยนต์ อุปกรณ์การแพทย์ เคมีภัณฑ์ รวมถึงสินค้าเกษตรและอาหาร เช่น ผักผลไม้ ไวน์ เบียร์ และสุรา รวมมูลค่ากว่า 6.35 พันล้านยูโร แผนภาษีใหม่นี้ถือเป็น “แพ็กเกจตอบโต้ชุดที่สอง” ต่อจากมาตรการชุดแรกที่อนุมัติไปแล้วในเดือนเมษายน ซึ่งครอบคลุมสินค้าสหรัฐมูลค่า 21,000 ล้านยูโร แต่ถูกระงับไว้ชั่วคราวเพื่อเปิดโอกาสให้การเจรจาการค้าระหว่างสองฝ่ายดำเนินต่อ โดยกำหนดเส้นตายการระงับไว้ถึงวันที่ 6 สิงหาคม อย่างไรก็ตามทางการ EU ย้ำว่ายังให้ความสำคัญกับการเจรจาเพื่อหลีกเลี่ยงสงครามการค้าเต็มรูปแบบ อย่างไรก็ตาม หากไม่มีความคืบหน้า คณะกรรมาธิการยุโรปและชาติสมาชิกพร้อมเดินหน้าตอบโต้เต็มรูปแบบ โดยยึดหลักความเป็นธรรมในการค้าระหว่างประเทศ ทั้งนี้ ข้อเสนอภาษีดังกล่าวเริ่มเปิดรับฟังความคิดเห็นจากสาธารณะตั้งแต่เดือนพฤษภาคม และแม้จะมีการปรับลดมูลค่าลงจาก 95,000 ล้านยูโร แต่รายการสินค้าหลักยังคงอยู่ โดยขณะนี้ยังไม่มีการกำหนดวันที่แน่ชัดสำหรับการลงมติอนุมัติขั้นสุดท้ายจากชาติสมาชิก
ทรัมป์พิจารณาแผนเก็บภาษีนำเข้ายาและเซมิคอนดักเตอร์ เช่นเดียวกับทองแดง
โดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐ เปิดเผยว่ามีแนวโน้มที่จะเริ่มเก็บภาษีนำเข้ายา (pharmaceuticals) ภายในสิ้นเดือนนี้ และอาจตามมาด้วยภาษีนำเข้าเซมิคอนดักเตอร์ในระยะเวลาใกล้เคียงกัน โดยภาษีทั้งสองกลุ่มอาจเริ่มใช้พร้อมกับมาตรการภาษีตอบโต้ (reciprocal tariffs) แบบกว้างที่มีกำหนดเริ่มบังคับใช้วันที่ 1 สิงหาคม 2568 ซึ่งภาษีสำหรับกลุ่มยานั้นอาจสูงถึง 200% ภายในปีหน้า ทรัมป์มีความคาดหวังให้บริษัทผลิตยาอาทิเช่น Eli Lilly & Co., Merck & Co. และ Pfizer Inc. ที่ฐานการผลิตอยู่ต่างประเทศย้ายฐานการผลิตกลับมาในสหรัฐฯ
พาวเวล เผชิญแรงกดดันจากปธน.ทรัมป์และทีมงานในทำเนียบขาว
ตลาดการเงินทั่วโลกผันผวนหนัก เจ้าหน้าที่ระดับสูงของทำเนียบขาวเปิดเผยต่อสำนักข่าว ว่า ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ แจ้งต่อสมาชิกสภาคองเกรสสังกัดพรรครีพับลิกันว่า เขาจะปลดนายเจอโรม พาวเวล ประธานธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ออกจากตำแหน่ง หลังจากได้รับเสียงสนับสนุนจากสมาชิกพรรคเนื่องจากไม่พอใจที่เฟดไม่ยอมลดดอกเบี้ย แม้ภายหลังทรัมป์จะปฏิเสธว่า “แทบเป็นไปไม่ได้” เว้นแต่พบการทุจริต เพียง 30 นาทีหลังรายงานข่าว ราคาทองคำโลกพุ่งขึ้นกว่า 50 ดอลลาร์ ขณะที่อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลและดัชนีค่าเงินดอลลาร์ผันผวน ขณะที่นักเศรษฐศาสตร์เตือนว่า หากเกิดขึ้นจริง อาจกระทบความเชื่อมั่นและเสถียรภาพทางเศรษฐกิจ ซึ่งในเวลาต่อมา ทรัมป์ออกมาประกาศว่าไม่มีแผนที่จะปลดนายเจอโรม พาวเวล ประธานธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ออกจากตำแหน่งแต่อย่างใด
ซึ่งในทางกฎหมาย ทรัมป์อาจใช้งบปรับปรุงสำนักงานใหญ่เฟดที่บานปลายเป็นเหตุถอดถอนพาวเวลภายใต้ “เหตุอันควร” ตามกฎหมายธนาคารกลาง แต่ยังต้องให้ศาลตีความ หากพาวเวลยื่นฟ้อง เขาอาจได้รับคำสั่งคุ้มครองชั่วคราว ซึ่งคดีอาจยืดเยื้อไปจนถึงศาลสูงสุด ทั้งนี้ แม้ปลดประธานเฟดได้ แต่การกำหนดอัตราดอกเบี้ยยังอยู่ในอำนาจของคณะกรรมการ FOMC ที่มี 12 เสียงโหวต จึงไม่ใช่เรื่องที่ประธานาธิบดีจะควบคุมได้โดยตรง ขณะที่นายโรเจอร์ อัลต์แมน อดีตรัฐมนตรีช่วยคลังสหรัฐฯ เตือนว่าความพยายามแทรกแซงเฟดเป็น “แนวคิดที่แย่มาก” และหากความเป็นอิสระของธนาคารกลางสหรัฐฯ ถูกสั่นคลอน จะทำลายความเชื่อมั่นของนักลงทุนทั่วโลก และบั่นทอนศักยภาพในการควบคุมเงินเฟ้ออย่างมีประสิทธิภาพ
ช่วงสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ยังออกโรงวิจารณ์นายเจอโรม พาวเวล ประธานธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) อย่างต่อเนื่องและเพิ่มความดุเดือดขึ้น โดยกล่าวโทษว่าเฟดทำให้ประเทศ “สูญเสียเงินหลายแสนล้านดอลลาร์” จากการไม่เร่งลดอัตราดอกเบี้ย พร้อมโพสต์ข้อความลายมือใน Truth Social เรียกร้องให้เฟด “ลดดอกเบี้ยลงอย่างมาก” และชี้ว่าหากเฟดทำหน้าที่ได้อย่างเหมาะสม สหรัฐฯ จะสามารถประหยัดดอกเบี้ยได้ “หลายล้านล้านดอลลาร์” ข้อเรียกร้องของทรัมป์เกิดขึ้นท่ามกลางแรงกดดันทางการคลังที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว เนื่องจากรัฐบาลกลางต้องเผชิญภาระดอกเบี้ยสูงเป็นประวัติการณ์ โดยคาดว่าการชำระดอกเบี้ยในปีงบประมาณ 2024 จะพุ่งทะลุ 1 ล้านล้านดอลลาร์ สูงกว่างบ Medicare และกลาโหม และเป็นรองเพียงงบประกันสังคมเท่านั้น อย่างไรก็ตาม ผู้เชี่ยวชาญเตือนว่า แม้เฟดจะลดดอกเบี้ย ก็อาจไม่ช่วยลดต้นทุนดอกเบี้ยของรัฐบาลได้มากนัก เพราะพันธบัตรรัฐบาลส่วนใหญ่เป็นตราสารหนี้ระยะกลางถึงระยะยาว ซึ่งอัตราดอกเบี้ยไม่ได้ถูกกำหนดโดยเฟดโดยตรง และการลดดอกเบี้ยเร็วเกินไปอาจยิ่งกระตุ้นเงินเฟ้อและผลักดันให้ดอกเบี้ยระยะยาวสูงขึ้นแทน
อิสราเอล-ซีเรีย บรรลุข้อตกลงหยุดยิง ภายใต้แรงหนุนจากสหรัฐฯ และประเทศเพื่อนบ้าน
ทอม บาร์รัก เอกอัครราชทูตสหรัฐฯ ประจำตุรกี เปิดเผยเมื่อวันศุกร์ (18 ก.ค.) ว่า อิสราเอลและซีเรียสามารถบรรลุข้อตกลงหยุดยิงได้สำเร็จ โดยมีตุรกี จอร์แดน และประเทศเพื่อนบ้านในภูมิภาคร่วมสนับสนุนความพยายามดังกล่าว เพื่อยุติการปะทะที่รุนแรงในช่วงหลายวันที่ผ่านมา โดยก่อนหน้านี้ อิสราเอลได้เปิดฉากโจมตีทางอากาศในกรุงดามัสกัส และถล่มกองกำลังรัฐบาลซีเรียทางตอนใต้ของประเทศเมื่อวันพุธ (16 ก.ค.) โดยอ้างเหตุผลในการปกป้องชาวดรูซ ชนกลุ่มน้อยที่มีบทบาทสำคัญในซีเรีย เลบานอน และอิสราเอล ในโพสต์ผ่านแพลตฟอร์ม X บาร์รักเรียกร้องให้กลุ่มชาติพันธุ์ต่าง ๆ เช่น ดรูซ เบดูอิน และชาวซุนนี วางอาวุธและร่วมมือกันสร้าง “อัตลักษณ์ซีเรียใหม่ที่เป็นหนึ่งเดียว” เพื่อฟื้นฟูสันติภาพและเอกภาพในประเทศ
แม้ขณะนี้สถานเอกอัครราชทูตอิสราเอลในกรุงวอชิงตัน และสถานกงสุลซีเรียในแคนาดาจะยังไม่มีท่าทีต่อข่าวนี้ แต่การหยุดยิงถือเป็นสัญญาณเชิงบวกหลังจากที่สหรัฐฯ พยายามไกล่เกลี่ยสถานการณ์อย่างต่อเนื่อง โดยมาร์โก รูบิโอ รัฐมนตรีต่างประเทศสหรัฐฯ เผยว่า มีการตกลงกันในหลายขั้นตอนเพื่อยุติสถานการณ์ที่ “น่ากังวลและน่าสะพรึงกลัว” ข้อตกลงหยุดยิงครั้งนี้เกิดขึ้นหลังสถานการณ์ในเมืองสเวดา ซึ่งเป็นพื้นที่ศูนย์กลางของความตึงเครียด เริ่มคลี่คลายจากการที่กองทัพรัฐบาลซีเรียตัดสินใจถอนกำลังออกจากพื้นที่
ประเด็นสำคัญที่ต้องติดตามในสัปดาห์
- ความคืบหน้าเจรจาการค้าสหรัฐฯ กับประเทศคู่ค้า จับตา 4 ประเทศสำคัญ ได้แก่ อินเดีย สหภาพยุโรป ญี่ปุ่น และเกาหลีใต้
- 22 ก.ค. เวลา 19.30 น. แถลงการณ์นายเจอโรม พาวเวล ประธานเฟด
- 24 ก.ค. เวลา 19.15 น. ธนาคารกลางยุโรป (ECB) ตลาดคาดการณ์คงอัตราดอกเบี้ยที่ระดับ 2.15% และเวลา 20.45 น. สหรัฐฯ เปิดเผยตัวเลขดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) ภาคการผลิต และ ภาคการบริการ เดือน มิ.ย.
แนวโน้มราคาทอง
จากกราฟรายวันราคาทองโลกเคลื่อนไหวในกรอบสามเหลี่ยม (Symmetrical Triangle) โดยมีจุดสูงที่ลดลง ขณะที่จุดต่ำยกสูงขึ้น โดยระยะสั้นยังมีแนวต้านที่ระดับ 3,375 ดอลลาร์ ซึ่งเป็นจุดสูงสุดในสัปดาห์ก่อน และหากทะลุขึ้นไปได้จะมีแนวต้านสำคัญที่ระดับ 3,420 ดอลลาร์ ซึ่งเป็นเส้นกดของสามเหลี่ยมด้านบน ขณะที่มีแนวรับที่ระดับ 3,300 ดอลลาร์ ตามเส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ EMA50 และเส้นยกของสามเหลี่ยมด้านล่าง ซึ่งหากหลุดต่ำกว่าระดับดังกล่าว ระวังการเกิดแรงขายรอบใหม่โดยมีแนวรับถัดไปที่ระดับ 3,260 ดอลลาร์
แนะนำการลงทุน นักลงทุนทองคำแท่งซื้อเมื่อราคาปรับตัวลงบริเวณแนวรับ 51,000 – 51,100 บาท โดยมีจุดตัดขาดทุนที่ระดับ 50,800 บาท ขณะที่จุดขายทำกำไร สามารถทยอยขายทำกำไร เมื่อราคาปรับตัวขึ้นใกล้จุดสูงเดิมในสัปดาห์ก่อนที่ระดับ 51,600 บาท และถัดไปที่ระดับ 52,100 บาท









