Gold Bullish
- จับตา Dot Plot และดอกเบี้ยเฟด (อาจ) ลดในวันพฤหัสบดีนี้
- เควิน แฮสเซตต์ ลุ้นเป็นประธานเฟดสายทรัมป์คนใหม่
Gold Bearish
- ตลาดแสดงความกังวลต่อกระทรวงการคลังสหรัฐฯ ในการแต่งตั้งแฮสเซตต์
- ปูตินและทรัมป์ เตรียมหารือสันติภาพยูเครน
สัปดาห์ที่ผ่านมา ราคาทองคำปรับตัวลงในระยะสั้น จากการที่ตลาดยังคงจับตาแนวโน้มสันติภาพยูเครนที่อาจเกิดขึ้นในการเจรจาครั้งล่าสุดระหว่างสหรัฐฯ – รัสเซีย ในขณะที่ตลาดยังคงกังวลต่อนายเควิน แฮสเซตต์ ที่อาจทำให้ตลาดพันธบัตรสหรัฐฯ ระยะยาวพุ่งสูงขึ้น ซึ่งเป็นปัจจัยกดดันทองคำ อย่างไรก็ตาม ในสัปดาห์นี้ยังคงมีปัจจัยสำคัญต่อราคาทองที่ส่งผลต่อเนื่องมาจากอดีต และปัจจัยสำคัญที่มีผลต่อสัปดาห์นี้โดยตรง ดังนี้
จับตา Dot Plot และดอกเบี้ยเฟดในวันพฤหัสบดีนี้ อาจทำทองผันผวน
หากย้อนกลับไปในช่วงเดือนพฤศจิกายน คณะกรรมการเฟด FOMC ได้มีการแสดงความคิดเห็นเรื่องอัตราดอกเบี้ยในเดือนธันวาคมที่มีความแตกต่างกันอย่างชัดเจนว่า เฟดควรที่จะลดดอกเบี้ย 0.25% หรือไม่ ซึ่งสามารถแบ่งออกเป็น 2 ฝ่าย ได้แก่ 1.ฝ่ายที่ต้องการลดดอกเบี้ย เนื่องด้วยภาวะตลาดแรงงานที่อ่อนแอและมีมุมมองว่าเงินเฟ้ออันเนื่องมาจากภาษีศุลกากรของปธน.ทรัมป์เป็นเพียงเรื่องที่เกิดขึ้นชั่วคราว นำโดย นายฟิลลิป เจฟเฟอร์สัน รองประธานเฟด , ผู้ว่าการเฟดทั้ง 4 คน ได้แก่ นายคริสโตเฟอร์ วอลเลอร์ / นายสตีเฟน มิแรน / นางลิซ่า คุก / นางมิเชล โบว์แมน และประธานเฟดสาขานิวยอร์ก นายจอห์น วิลเลียม 2.ฝ่ายที่ต้องการตรึงดอกเบี้ย เนื่องด้วยอัตราเงินเฟ้อยังไม่กลับตัวลงมาสู่ 2% อย่างมีเสถียรภาพ และภาษีศุลกากรของปธน.ทรัมป์อาจยังคงเป็นปัจจัยที่ยืดเยื้อ นำโดยนายเจอโรม พาวเวล ประธานเฟด , ผู้ว่าการเฟด นายไมเคิล บาร์ และประธานเฟดสาขาบอสตัน / แคนซัสซิตี้ / เซนต์หลุยส์ / ชิคาโก ทั้งนี้ การสุนทรพจน์ของนายเจอโรม พาวเวล ประธานเฟด และนางมิเชล โบว์แมน ผู้ว่าการเฟดเมื่อสัปดาห์ที่แล้วไม่ได้มีการกล่าวถึงภาวะเศรษฐกิจเนื่องจากอยู่ในช่วง Blackout Period แต่หากยึดหลักความเห็นทางเศรษฐกิจของทั้ง 2 คนผ่านการประชุม FOMC เมื่อวันที่ 28-29 ตุลาคม จะส่งผลให้คณะกรรมการเฟดอาจมีมติ 6:6 เสียงในการลดดอกเบี้ยในเดือนธันวาคม ซึ่งได้สร้างความไม่แน่นอนในนโยบายการเงินของเฟดเป็นอย่างมาก อย่างไรก็ตาม ตลาด CME Fed Watch ได้คาดการณ์เกิน 80% แล้วว่า เฟดอาจลดดอกเบี้ยในวันพฤหัสบดีนี้ ในขณะที่ตลาดยังคงต้องติดตามดูสถานการณ์ของคณะกรรมการเฟดต่อไปว่า ในการประชุม FOMC กรรมการเฟดจะมีมติเห็นชอบต่อดอกเบี้ยอย่างไรบ้างในอนาคตผ่านตัวเลข Dot Plot ที่จะมีการคาดการณ์ดัชนีการบริโภคส่วนบุคคล , ตัวเลข GDP , อัตราการว่างงาน และอัตราเงินเฟ้อในอีก 3 ปีข้างหน้า รวมถึงถ้อยแถลงของนายเจอโรม พาวเวล ประธานเฟด เกี่ยวกับแนวโน้มดอกเบี้ย ตลาดแรงงาน และเงินเฟ้อในปี 2026
เควิน เฮสเซตต์ ลุ้นเป็นประธานเฟดสายพิราบคนใหม่
นายเควิน แฮสเซตต์ (Kevin Hassett) ผู้อำนวยการสภาเศรษฐกิจแห่งชาติ (NEC) ของรัฐบาลทรัมป์ มีแนวโน้มที่จะเป็นตัวเต็งสำหรับตำแหน่งประธานเฟดต่อจากเจอโรม พาวเวล ซึ่งกำลังจะสิ้นสุดวาระลงในช่วงกลางปี 2026 โดยแฮสเซตต์เคยมีประสบการณ์ด้านนโยบายรัฐ และเคยดำรงตำแหน่งประธานสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจ (CEA) ในช่วงปี 2017–2019 ตรงกับรัฐบาลทรัมป์ในสมัยที่ 1 และในเวลาต่อมาในปี 2020 แฮสเซตต์ตั้งข้อสังเกตว่า เฟดเริ่มขึ้นดอกเบี้ยช่วงที่มีการผ่านกฎหมายลดภาษีในรัฐบาลทรัมป์สมัยที่ 1 แต่กลับมาลดดอกเบี้ยก่อนการเลือกตั้งประธานาธิบดีปี 2024 ทำให้เขามองว่าการตัดสินใจของเฟดอาจมีวาระทางการเมืองแอบแฝง ปัจจุบัน แฮสเซตต์กลับมารับบทบาทผู้อำนวยการ NEC อีกครั้งในรัฐบาลทรัมป์สมัยที่ 2 ปี 2025 และได้ให้สัมภาษณ์ทาง CBS เมื่อวันที่ 30 พฤศจิกายน โดยปฏิเสธที่จะยืนยันว่าตนจะมาแทนเจอโรม พาวเวลล์ แต่เขากล่าวถึงปฏิกิริยาเชิงบวกของตลาดต่อข่าวว่าทรัมป์ใกล้ประกาศชื่อผู้ที่เลือก ซึ่งช่วยลดความกังวลเรื่องความใกล้ชิดกับทรัมป์เกินไป
สิ่งที่ทำให้แฮสเซตต์ถูกมองว่า “ใช่” สำหรับทรัมป์ คือแนวคิดด้านเศรษฐกิจที่เดินไปในทิศทางเดียวกันอย่างชัดเจน ยกตัวอย่างเช่น เห็นด้วยกับนโยบายลดภาษี, เชื่อมั่นในกฎระเบียบที่ผ่อนคลาย และต้องการใช้นโยบายที่ช่วยเร่งการเติบโต ทั้งหมดนี้คือเส้นทางเศรษฐกิจที่ทรัมป์ย้ำเสมอว่าต้องการให้เฟดสนับสนุน ทั้งนี้ แฮสเซตต์เห็นด้วยกับทรัมป์ว่า เฟดควรต้องมีการลดดอกเบี้ยอย่างมาก และมองว่าเป็นความผิดพลาดหากเฟดจะหยุดลดดอกเบี้ยในเดือนธันวาคม โดยแฮสเซตต์สนับสนุนให้เฟดลดดอกเบี้ยถึง 0.50% ในเดือนธันวาคม ซึ่งมากกว่าการลดปกติถึง 2 เท่า และเป็นมุมมองที่มีความเหมือนกันกับนายสตีเฟน มิแรน ผู้ว่าการเฟดสายของทรัมป์ ที่ต้องการให้เฟดลดดอกเบี้ยถึง 0.5% มาตั้งแต่การประชุมในเดือน กันยายน และตุลาคม อีกด้วย ซึ่งยิ่งเป็นการตอกย้ำถึงความเป็นอิสระของเฟด และอาจส่งผลให้ดัชนีเงินดอลลาร์ (DXY) อ่อนค่าลง และทองคำได้รับปัจจัยบวกในด้านนี้ อย่างไรก็ตาม ตลาดยังคงจับตามอง นายสก็อต เบสเซนต์ รมว.คลังสหรัฐฯ ผู้ดูแลกระบวนการคัดเลือกประธานเฟดคนใหม่ ได้กล่าวในช่วงปลายเดือนพฤศจิกายนว่า ทรัมป์อาจประกาศชื่อผู้ได้รับการเสนอชื่อก่อนวันหยุดคริสต์มาสในวันที่ 25 ธันวาคม ในขณะที่ทรัมป์กว่าวว่าจะประกาศรายชื่อผู้ที่ได้รับเลือกให้ดำรงตำแหน่งประธานเฟดคนใหม่ในช่วงต้นปีหน้า ซึ่งทำให้ตลาดยังคงจับตาต่อไปอีกระยะหนึ่งว่า ปธน.ทรัมป์จะเลือกใครมาเป็นประธานเฟดคนต่อไป
อย่างไรก็ตาม กระแสการแต่งตั้งนายเควิน แฮสเซตต์ ใช่ว่าจะไร้ซึ่งอุปสรรค เนื่องจากบรรดานักลงทุนในตลาดพันธบัตรได้แจ้งต่อกระทรวงการคลังสหรัฐฯ (US Treasury) โดยแสดงความกังวลเกี่ยวกับการเสนอชื่อนายเควิน แฮสเซตต์ เข้าดำรงตำแหน่งประธานธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) โดยเกรงว่าแฮสเซตต์จะปรับลดอัตราดอกเบี้ยอย่างรุนแรงแม้ว่าเงินเฟ้อจะยังคงยืนเหนือ 2% เพื่อเป็นการเอาใจปธน.โดนัลด์ ทรัมป์ หลังจากกระทรวงการคลังได้ขอความคิดเห็นเกี่ยวกับนายแฮสเซตต์และผู้สมัครคนอื่น ๆ ในการสนทนาแบบตัวต่อตัวกับผู้บริหารของธนาคารใหญ่ใน Wall Streed , บริษัทบริหารสินทรัพย์ยักษ์ใหญ่ และผู้เล่นรายใหญ่อื่น ๆ ในตลาดตราสารหนี้ของสหรัฐฯ อีกทั้งนักลงทุนยังคงมีความกังวลว่า หากอัตราเงินเฟ้อพุ่งสูงขึ้น จะยิ่งเป็นการจุดชนวนให้เกิดการเทขายพันธบัตรรัฐบาลระยะยาว (ซึ่งเป็นปัจจัยลบต่อทองคำ) ในขณะที่บรรดานักลงทุนบางส่วนยังไม่มั่นใจว่าแฮสเซตต์จะสามารถ ชนะใจคณะกรรมการเฟดที่แตกแยก และสามารถ สร้างฉันทามติ (Corral Consensus) ในการตัดสินใจอัตราดอกเบี้ยได้ นอกจากนี้ นางคลอเดีย ซาห์ม หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์ของ New Century Advisors และอดีตนักเศรษฐศาสตร์ของเฟด ได้กล่าวชื่นชมนายเควิน แซสเซ็ตต์ถึงความสามารถที่เหนือกว่าแค่การเป็นประธานเฟด แต่ก็ยังแสดงความไม่มั่นใจว่า แฮสเซตต์จะสวมหมวกเป็นนักการเมืองผู้ที่จงรักภักดีต่อปธน.ทรัมป์ด้วยการบังคับให้เฟดต้องลดดอกเบี้ยอย่างรุนแรง หรือจะเป็นนักเศรษฐศาสตร์มืออาชีพที่ปกป้องความเป็นอิสระของเฟดอย่างแท้จริง
จากปัจจัยข้างต้น ทำให้ตลาดยังจับตาว่า ทิศทางของดอกเบี้ยพันธบัตรสหรัฐฯ ระยะยาวอาจต้องเผชิญกับแรงเทขาย ซึ่งอาจเป็นปัจจัยกดดันให้ทองคำปรับตัวลง เนื่องจากเป็นสินทรัพย์ปลอดภัยที่ไม่ให้ดอกเบี้ย ตรงข้ามกับพันธบัตรที่ให้ดอกเบี้ยสูงขึ้น
ปูตินและทรัมป์ เตรียมหารือสันติภาพยูเครน
เมื่อวันที่ 2 ธันวาคม นายดมิทรี เพสคอฟ โฆษกทำเนียบเครมลิน ได้กล่าวว่า ปธน.วลาดิเมียร์ ปูติน ผู้นำรัสเซีย จะมีการพบปะกับนายสตีฟ วิตคอฟฟ์ ผู้แทนพิเศษของปธน. โดนัลด์ ทรัมป์ ผู้นำสหรัฐ ที่กรุงมอสโก โดยปูตินกล่าวก่อนหน้านี้ว่า กรอบข้อตกลงสันติภาพที่สหรัฐและยูเครนได้หารือกัน สามารถเป็นพื้นฐานของข้อตกลงในอนาคตเพื่อยุติความขัดแย้งในยูเครน ซึ่งสหรัฐฯ ได้พิจารณามุมมองของรัสเซียแล้ว แต่ยังมีบางประเด็นที่ต้องหารือเพิ่มเติม และหากยุโรปต้องการคำมั่นว่ารัสเซียจะไม่ทำการโจมตี รัสเซียก็พร้อมที่จะให้คำมั่นดังกล่าว
อย่างไรก็ตาม ทางปูตินได้กล่าวว่า กองทัพยูเครนจำเป็นต้องถอนกำลังออกจากพื้นที่ซึ่งพวกเขายึดครอง แล้วการสู้รบจึงจะยุติลง แต่หากยูเครนไม่ยอมถอนกำลัง รัสเซียจะเริ่มพิจารณาในการใช้อาวุธอีกครั้ง ทั้งนี้ เมื่อวันที่ 30 พฤศจิกายน นายวาเลรี เกราซิมอฟ ผู้บัญชาการทหารสูงสุดของรัสเซีย ได้รายงานความสำเร็จในการยึดเมืองโปครอฟสก์ (Pokrovsk) และ โวฟชานสก์ (Vovchansk) อีกทั้งยังพร้อมเดินหน้ายึดครองภูมิภาคดอนบาสทั้งหมด ซึ่งประกอบด้วยแคว้นโดเนตสก์และลูฮันสก์ต่อไป นอกจากนี้ ทรัมป์อาจถอนตัวจากบทบาทคนกลางรัสเซีย–ยูเครนหลังแผนการ 28 ข้อเพื่อสันติภาพยูเครนยังคงไม่มีความคืบหน้า ดังนั้น แผนสันติภาพยูเครนที่สหรัฐฯ กำลังจะมอบให้กับยูเครนยังคงเป็นสิ่งที่ต้องจับตาต่อไปอีกระยะหนึ่ง เนื่องจากหากแผนการดังกล่าวเกิดขึ้นจริง อาจเป็นปัจจัยระยะสั้นในการกดดันทองคำให้ปรับตัวลงได้ในภายหลัง
ตัวเลขเศรษฐกิจที่สำคัญในสัปดาห์หน้า
- จำนวนตำแหน่งงานที่เปิดรับสมัครใหม่จาก JOLTS (ล้านตำแหน่ง) เดือนก.ย.
- การประชุมธนาคารกลางสหรัฐ (FOMC)
- การจ้างงานนอกภาคเกษตรรายสัปดาห์จาก ADP
- จำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์
แนวโน้มราคาทอง
ราคาทองคำโลกในสัปดาห์นี้คาดว่าในทางเทคนิคระยะสั้นยังคงทรงตัวในกรอบ Rising Wedge แต่ระยะยาวยังคงมี Pattern แบบ Expanding Triangle ซึ่งเป็นการสะท้อนถึงภาวะ “ทยอยฟื้นตัว” หลังจากที่ตลาดได้รับรู้ปัจจัยบวกทางด้านความคิดเห็นที่ขัดแย้งต่อกรรมการเฟดและว่าที่ประธานเฟดคนใหม่ นายเควิน แฮสเซตต์ ซึ่งอาจส่งผลให้ทองคำปรับตัวขึ้นทดสอบแนวต้านสำคัญที่ 4,275 และ 4,375 ดอลลาร์ และอาจกระตุ้นแรงซื้อในตลาดทองคำได้รอบใหม่ อย่างไรก็ตาม หากตลาดรับรู้ปัจจัยลบจากความกังวลต่อนักลงทุนที่มีต่อแฮสเซตต์ รวมถึงแนวโน้มสันติภาพยูเครนที่กำลังก่อตัวขึ้น อาจทำให้ทองคำปรับตัวลงทดสอบแนวรับสำคัญที่ 4,110 และ 4,030 ดอลลาร์ ซึ่งหากหลุดแนวรับดังกล่าว อาจกระตุ้นให้ตลาดมีการปรับตัวลงอย่างต่อเนื่องได้เช่นกัน
สำหรับทองคำแท่งในประเทศ แนะนำให้นักลงทุน ทยอยสะสมเมื่อราคาปรับตัวลง ใกล้บริเวณ 63,000 บาท โดยมีจุดตัดขาดทุนที่ 62,200 บาท ขณะที่แนวต้านอยู่ที่ 64,300 บาท และ 65,100 บาท









