ทองคำโลกขึ้นต่อเนื่อง 8 สัปดาห์! ติดตามสงครามการค้าจีน-สหรัฐฯ และชัตดาวน์สหรัฐฯ
Gold Bullish
- สงครามการค้าสหรัฐฯ – จีน
- ความไม่แน่นอนทางการเมืองสหรัฐฯ
- ธนาคารกลางและกองทุนเข้าซื้อทองคำ
Gold Bearish
- อิสราเอล-ฮามาส บรรลุข้อตกลงหยุดยิง
- แรงขายจากสัญญาณทางเทคนิค
ราคาทองโลกปรับตัวขึ้นติดต่อกันเป็นสัปดาห์ 8 โดยช่วงปลายกลาง-ปลายสัปดาห์ราคาทองผันผวนอย่างหนักโดยสร้าง All-time High ที่ 4,059 ดอลลาร์ แต่ก็ปรับตัวลงแรงทำจุดต่ำที่ 3,945 ดอลลาร์ ก่อนกลับมาปิดตลาดที่ 4,017.8 ดอลลาร์ ทั้งสัปดาห์เพิ่มขึ้น +132.1 ดอลลาร์ นักลงทุนพากันเข้าซื้อทองในฐานะสินทรัพย์ปลอดภัย ท่ามกลางความวิตกกังวลจากประเด็น ทรัมป์ขู่เก็บภาษีนำเข้าจากจีนเกิดเป็นสงครามการค้ารอบใหม่ ขณะที่สหรัฐฯ เผชิญภาวะการปิดหน่วยงานรัฐบาล หรือชัตดาวน์กำลังเข้าสู่สัปดาห์ที่ 2
จีน-สหรัฐฯ ตึงเครียดอีกครั้ง หลังทรัมป์ประกาศภาษี 100% รับมือแร่หายาก
ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ จุดชนวนความตึงเครียดทางการค้ารอบใหม่ ด้วยการประกาศขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าจากจีน 100% โดยจะมีผลตั้งแต่วันที่ 1 พฤศจิกายนนี้ พร้อมเตรียมขยายขอบเขตภาษีไปยัง “ซอฟต์แวร์สำคัญทุกประเภท” ส่งผลทำให้มูลค่าตลาดหุ้นสหรัฐฯ หายไปกว่า 2 ล้านล้านดอลลาร์ภายในไม่กี่ชั่วโมง มาตรการดังกล่าวเกิดขึ้นหลังจากจีนประกาศควบคุมการส่งออก แร่หายาก (Rare Earths) ซึ่งเป็นทรัพยากรสำคัญของอุตสาหกรรมเทคโนโลยีขั้นสูง เช่น ยานยนต์ไฟฟ้า อุปกรณ์กลาโหม และเซมิคอนดักเตอร์ โดยจีนถือครองส่วนแบ่งตลาดแร่หายากมากถึง 70% ของโลก ทรัมป์ยังโพสต์บน Truth Social กล่าวหาจีนอีกว่ากำลังใช้นโยบาย “เป็นปฏิปักษ์ทางการค้า” และเตรียมจำกัดการส่งออกทรัพยากรที่จำเป็นต่อเศรษฐกิจโลก ซึ่งทรัมป์มองว่าเป็นภัยต่อความมั่นคงทางเศรษฐกิจของสหรัฐ จึงจำเป็นต้องตอบโต้เพื่อ “ปกป้องอุตสาหกรรมและคนงานอเมริกัน”
ด้านจีนออกแถลงการณ์ตอบโต้ทันที โดยประณามท่าทีของทรัมป์ว่าเป็น “การกระทำที่กลับกลอกและหน้าซื่อใจคด” พร้อมยืนยันว่ามาตรการจำกัดการส่งออกของตนมีเป้าหมายเพื่อความมั่นคงด้านเทคโนโลยีและการป้องกันประเทศ ไม่ใช่เพื่อใช้เป็นเครื่องมือทางการค้า ขณะเดียวกัน ปักกิ่งยัง “ชะลอการตอบโต้” ซึ่งนักวิเคราะห์มองว่าอาจเป็นสัญญาณว่าจีนยังเปิดช่องให้การเจรจากลับมาเกิดขึ้นได้
อย่างไรก็ตาม ความขัดแย้งรอบใหม่นี้ได้ส่งแรงสั่นสะเทือนไปทั่วตลาดโลก หุ้นเทคโนโลยีดิ่งลงทันที นักลงทุนวิตกต่อแนวโน้มสงครามภาษีที่อาจรุนแรงขึ้น และทำให้การประชุมสุดยอดระหว่างทรัมป์กับประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ในปลายเดือนนี้ ถูกจับตาอย่างใกล้ชิดว่าอาจกลายเป็น “จุดเปลี่ยน” ของทิศทางความสัมพันธ์ทางการค้าระหว่างสองมหาอำนาจเศรษฐกิจของโลกอีกครั้ง
วิกฤติ “ชัตดาวน์รัฐบาลสหรัฐฯ” ยืดเยื้อเข้าสู่สัปดาห์ที่ 2 โดยยังไร้สัญญาณความคืบหน้า
ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ใช้สถานการณ์นี้เป็นแรงกดดันทางการเมืองเพื่อผลักดันการตัดงบประมาณโครงการที่พรรคเดโมแครตสนับสนุน และเตรียมปรับลดขนาดระบบราชการกลางครั้งใหญ่ ความตึงเครียดในสภาคองเกรสยังคงสูงขึ้นเรื่อย ๆ เมื่อทั้งสองพรรคต่างกล่าวโทษกันถึงต้นเหตุของวิกฤติ โดยฝ่ายรีพับลิกันยืนยันว่าพรรคเดโมแครตเป็นผู้ขัดขวางไม่ให้ผ่านร่างงบประมาณชั่วคราวแบบ “clean bill” ซึ่งจะเปิดรัฐบาลได้ถึงวันที่ 21 พ.ย. ขณะที่เดโมแครตระบุว่าทรัมป์และรีพับลิกันตั้งใจบีบให้โครงการด้านสาธารณสุข เช่น Obamacare และ Medicaid ถูกตัดงบ ทั้งที่โครงการเหล่านี้มีความสำคัญต่อประชาชนจำนวนมาก
ผลกระทบจากการชัตดาวน์เริ่มลุกลามทั่วประเทศ นายรัสเซล โวท์ ผู้อำนวยการสำนักงานบริหารและงบประมาณทำเนียบขาว (OMB) เปิดเผยว่า รัฐบาลสหรัฐฯ ได้เริ่มกระบวนการเลิกจ้างพนักงาน (RIFs) อย่างเป็นทางการแล้ว ท่ามกลางภาวะชัตดาวน์ที่ยืดเยื้อ โดยยังไม่เปิดเผยจำนวนผู้ได้รับผลกระทบหรือหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง อีกทั้งสื่อสหรัฐฯ ระบุว่า การเลิกจ้างรอบนี้มีแนวโน้มเกิดขึ้นในวงกว้าง ครอบคลุมหลายหน่วยงานสำคัญ เช่น กระทรวงความมั่นคงแห่งมาตุภูมิ กระทรวงสาธารณสุขและบริการมนุษย์ และกระทรวงการคลัง ขณะที่ด้านวุฒิสภาจะกลับมาประชุมในวันที่ 14 ตุลาคม เพื่อพิจารณาร่างงบประมาณของรีพับลิกันอีกครั้ง ซึ่งสัปดาห์นี้จึงถูกจับตาอย่างใกล้ชิดว่า สภาคองเกรสจะสามารถหาทางยุติภาวะชัตดาวน์และฟื้นความเชื่อมั่นของรัฐบาลกลางได้หรือไม่
ETF ทองคำพุ่งเต็มพิกัด 9 เดือนแรกปี 2568 เงินไหลเข้ากว่า 618 ตัน
World Gold Council เปิดเผยรายงานยอดการซื้อ ETF ทองคำ โดยในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2568 มีกระแสเงินไหลเข้าสูงถึง 618.8 ตัน ส่งผลให้ยอดการถือครองทองคำของ ETF ทั่วโลก ณ สิ้นเดือนกันยายน อยู่ที่ 3,838 ตัน ซึ่งต่ำกว่าระดับสูงสุดในปี 2563 เพียงราว 2% (3,929 ตัน) แรงซื้อที่เพิ่มขึ้นดังกล่าวสะท้อนชัดผ่านกระแสเงินทุน (Fund Flow) ที่ไหลกลับเข้าสู่กองทุน ETF ทองคำ หลังจากที่ไหลออกต่อเนื่องนานถึง 4 ปี แนวโน้มในไตรมาสสุดท้ายของปีคาดว่าจะยังมีเงินไหลเข้าอย่างต่อเนื่อง ทำให้การถือครองทองคำของ ETF อาจแตะระดับ 4,000 ตัน ได้เป็นครั้งแรกในประวัติการณ์
ประเด็นสำคัญที่ต้องติดตามในสัปดาห์
14 ตุลาคม
- เวลา 19.45 น. ติดตามแถลงการณ์นางมิเชล โบว์แมน ผู้ว่าการเฟด
- เวลา 23.20 น. ติดตามแถลงการณ์นายเจอโรม พาวเวล ประธานเฟด
16 ตุลาคม
- เวลา 19.30 น. สหรัฐฯ ประกาศตัวเลขดัชนีราคาผู้ผลิตทั่วไป (PPI) เดือนก.ย. ตลาดคาดการณ์ขยายตัวที่ 0.3% เพิ่มขึ้นจากครั้งก่อนที่หดตัวลง (-0.1%) เมื่อเทียบรายเดือน สอดคล้องกับดัชนีราคาผู้ผลิตขั้นพื้นฐาน (Core PPI) เดือนก.ย. ตลาดคดาดการณ์ขยายตัวสู่ระดับ 0.3% ลดลงจากครั้งก่อนที่หดตัวลง (-0.1%) เมื่อเทียบรายเดือน
แนวโน้มราคาทอง
ราคาทองคำโลกยังคงเคลื่อนไหวในทิศทางขาขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยได้รับแรงหนุนทั้งจากข่าวเศรษฐกิจและความกังวลของนักลงทุนว่าจะพลาดโอกาสลงทุน หรือที่เรียกว่า FOMO (Fear of Missing Out) ทำให้แรงซื้อทองคำยังคงแข็งแกร่ง ภาพรวมระยะสั้น ราคาทองคำมีแนวต้านที่ 4,060 ดอลลาร์ ซึ่งเป็นระดับ All-time High เดิม หากสามารถผ่านไปได้ มีโอกาสทดสอบแนวต้านถัดไปที่ 4,100 ดอลลาร์ อย่างไรก็ตาม แม้ RSI จะเริ่มชะลอตัว แต่ยังอยู่ใกล้โซน Overbought นักลงทุนยังควรระวังแรงขายเพื่อปรับฐานด้วยเช่นกัน โดยมีแนวรับที่ 3,940 ดอลลาร์ ตามเส้นเทรนแนวโน้มขาขึ้นด้านล่างและยังเป็นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ EMA50 หากราคาหลุดต่ำกว่าระดับนี้ อาจกระตุ้นแรงขายรอบใหม่ โดยแนวรับถัดไปอยู่ที่ 3,880 ดอลลาร์
นักลงทุนทองคำแท่งที่มีสถานะซื้อ แนะนำถือครองทองต่อไป (Let Profit Run) รอทยอยขายปิดทำกำไรเมื่อราคาทองปรับตัวขึ้นบริเวณ 63,200 บาท โดยมีจุดเข้าซื้อสะสมรอบใหม่ที่ 61,200 บาท และมีจุดตัดขาดทุนหากราคาทองหลุดต่ำกว่า 3,940 ดอลลาร์ หรือประมาณบาทละ 60,800 บาท










