ราคาทอง “อาจ” ผันผวนแรง ติดตามโค้งสุดท้ายเจรจาภาษีนำเข้าสหรัฐฯ เส้นตาย 1 ส.ค.
Gold Bullish
- ความไม่แน่นอนของภาษีนำเข้าทรัมป์
- ความต้องการทองคำจากธนาคารกลางแข็งแกร่ง
- แนวโน้มอัตราดอกเบี้ยลดลง
Gold Bearish
- การเจรจาการค้าระหว่างสหรัฐฯ กับประเทศคู่ค้า คืบหน้า
- ข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่ยังแข็งแกร่ง
ราคาทองโลกทำจุดสูงสุดที่ระดับ 3,438.9 ดอลลาร์ ก่อนเผชิญแรงเทขายอย่างหนัก ก่อนกลับมาปิดตลาดทั้งสัปดาห์ลดลง (-13.31) ดอลลาร์ ที่ระดับ 3,336.2 ดอลลาร์ ตลาดขานรับเจรจาการค้าสหรัฐฯ – อียู มีความคืบหน้า หลังจากช่วงต้นสัปดาห์ราคาทองคำได้รับแรงหนุนจาก อียูเตรียมออกมาตรการตอบโต้สหรัฐฯ อย่างหนักด้วย “เครื่องมือป้องกันการบีบบังคับทางเศรษฐกิจ” หรือ Anti-Coercion Instrument (ACI) ซึ่งได้รับการขนานนามว่าเป็น “Trade Bazooka” หากไม่สามารถบรรลุข้อตกลงการค้าก่อนวันที่ 1 สิงหาคม
โฮเวิร์ด ลัทนิค รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์สหรัฐฯ ได้ยืนยันว่า วันที่ 1 ส.ค. ถือเป็น ‘Hard deadline’ หรือกำหนดเส้นตายที่แน่นอนสำหรับการบังคับใช้มาตรการภาษีนำเข้า แม้ว่าจะเป็นเส้นตายที่ไม่มีการยืดหยุ่น แต่รัฐบาลสหรัฐฯ ยังคงเปิดกว้างสำหรับการเจรจากับประเทศคู่ค้าต่อไป ซึ่งหมายความว่าการพูดคุยเพื่อหาทางออกยังสามารถดำเนินการต่อไปได้แม้จะมีการเก็บภาษีไปแล้วก็ตาม
ทรัมป์ประกาศบรรลุข้อตกลงการค้ากับ EU
สหรัฐฯ และสหภาพยุโรปบรรลุข้อตกลงการค้าเบื้องต้น โดยเห็นชอบตั้งภาษีนำเข้า 15% สำหรับสินค้าส่วนใหญ่ รวมถึงรถยนต์ ซึ่งถือเป็นการคลี่คลายความตึงเครียดที่ยืดเยื้อมาหลายเดือนระหว่างสองฝ่ายที่มีมูลค่าการค้ารวมกันมหาศาล โดยอียูเป็นแหล่งนำเข้าสินค้าอันดับหนึ่งของสหรัฐฯ ข้อตกลงดังกล่าวเกิดขึ้นหลังจากการหารือระหว่างทรัมป์กับเออร์ซูลา วอน แดร์ เลเยน ประธานคณะกรรมาธิการยุโรป ที่เมืองเทิร์นเบอร์รี ประเทศสกอตแลนด์
ทรัมป์ เปิดเผยว่าสหภาพยุโรปตกลงจะซื้อพลังงานจากสหรัฐฯ มูลค่า 7.5 แสนล้านดอลลาร์จากสหรัฐฯ และเตรียมขยายการลงทุนในสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นกว่า 6 แสนล้านดอลลาร์ จากปัจจุบัน พร้อมทั้งมีแผนจัดซื้อยุทโธปกรณ์ทางการทหาร และยกเว้นภาษีสินค้าบางประเภท อย่างไรก็ตาม ภาษีนำเข้าเหล็กและอะลูมิเนียมในอัตรา 50% ที่สหรัฐฯ บังคับใช้ทั่วโลกจะยังคงอยู่ โดยทรัมป์ระบุว่าเป็น “เรื่องระดับโลก” และรายละเอียดส่วนอื่นของข้อตกลงยังไม่ได้รับการเปิดเผย
ข้อตกลงนี้ แม้จะยังอยู่ในขั้นเบื้องต้น แต่ช่วยลดแรงกังวลเรื่องสงครามการค้า โดยเฉพาะในภาคอุตสาหกรรมยานยนต์ของยุโรป ซึ่งได้รับผลกระทบหนักจากภาษีนำเข้าสหรัฐฯ ที่เคยสูงถึง 27.5% นอกจากนี้ ยังมีประเด็นอ่อนไหวเรื่องภาษีนำเข้ายา ซึ่งยังไม่ชัดเจนว่าจะได้รับการจัดการอย่างไร แม้รัฐบาลสหรัฐฯ เคยขู่จะขึ้นภาษีถึง 200% ต่อผลิตภัณฑ์กลุ่มนี้ก็ตามทั้งนี้ ทรัมป์ยังเน้นว่า “ยาเป็นสินค้าพิเศษ” ที่ควรผลิตในประเทศ แต่ก็ยอมรับว่าสหรัฐฯ ยังคงต้องนำเข้ายาจำนวนมากจากยุโรปต่อไป
สรุปประเทศที่บรรลุดีลการค้ากับสหรัฐฯ
เครื่องมือติดตามความคืบหน้าการเจรจาการค้ารวดเร็วที่สุด คงหนีไม่พ้น Truth Social ของทรัมป์ สัปดาห์ที่ผ่านมามีอีก 2 ประเทศที่สามารถปิดดีลการค้ากับสหรัฐฯ ได้ ได้แก่ ฟิลิปปินส์ ได้รับการปรับลดภาษีศุลกากรตอบโต้ (Reciprocal Tariff) จาก 20% เหลือ 19% ภายใต้ข้อตกลงดังกล่าว สินค้าของทั้งฟิลิปปินส์กับอินโดนีเซียที่นำเข้าสู่สหรัฐฯ จะถูกเก็บภาษีนำเข้าในอัตรา 19% ขณะที่สินค้าอเมริกันที่ส่งออกไปสู่ทั้ง 2 ประเทศจะไม่ถูกเรียกเก็บภาษีศุลกากร นอกจากนั้นสหรัฐฯ กับฟิลิปปินส์จะเพิ่มความร่วมมือทางทหารระหว่างกันด้วย และ ญี่ปุ่น ได้รับการปรับลดภาษีศุลกากรตอบโต้ จาก 25% เหลือ 15% ซึ่งญี่ปุ่นจะลงทุนมูลค่า 5.50 แสนล้านดอลลาร์ในสหรัฐฯ และสหรัฐฯ จะได้รับผลกำไร 90% นอกจากนี้ ปธน.ทรัมป์ยังกล่าวว่าญี่ปุ่นจะเปิดประเทศเพื่อทำการค้ากับสหรัฐฯ ซึ่งรวมถึงรถยนต์ รถบรรทุก ข้าว และผลิตภัณฑ์ทางการเกษตรบางชนิด ตลอดจนสินค้าชนิดอื่น ๆ โดยข้อตกลงนี้จะสร้างงานหลายแสนตำแหน่ง ก่อนหน้านี้ประเทศที่บรรลุดีลการค้ากับสหรัฐฯ แล้ว ได้แก่ สหราชอาณาจักร (10%) เวียดนาม (20%) และ อินโดนีเซีย (19%)
สหรัฐฯ – จีน เตรียมเจรจารอบ 3 เพื่อขยายเส้นตาย 12 ส.ค.
สหรัฐฯ และจีนเตรียมเจรจาการค้ารอบที่ 3 ที่กรุงสต็อกโฮล์มในสัปดาห์หน้า โดยมีเป้าหมายขยายเวลาสงบศึกภาษีที่กำลังจะสิ้นสุดลงในวันที่ 12 สิงหาคมนี้ พร้อมเปิดทางหารือในประเด็นที่กว้างขึ้น รวมถึงกรณีจีนยังซื้อน้ำมันจากรัสเซียและอิหร่าน แม้จะถูกคว่ำบาตร โดยรัฐมนตรีคลังสหรัฐฯ สก็อตต์ เบสเซนต์ ซึ่งเป็นหัวหน้าคณะเจรจา เผยว่าความสัมพันธ์ระหว่างสองประเทศดีขึ้นเมื่อเทียบกับชาติอื่นที่ถูกกำหนดเส้นตายสิ้นเดือนนี้ให้ต้องลงนามข้อตกลงและยอมเสียภาษีอย่างน้อย 10%
การเจรจาครั้งนี้สานต่อจากการพบกันก่อนหน้าในเจนีวาและลอนดอน ซึ่งนำไปสู่การยกเลิกมาตรการควบคุมส่งออกและการผ่อนปรนข้อจำกัดด้านเทคโนโลยี เช่น การขายเซมิคอนดักเตอร์ของสหรัฐฯ และการส่งออกแร่หายากของจีน ขณะที่นายกรัฐมนตรีสวีเดนยืนยันความสำคัญของเวทีนี้ต่อการค้าโลก
เบสเซนต์ระบุว่าสหรัฐฯ ต้องการให้จีนลดการผลิตส่วนเกินและเน้นเศรษฐกิจแบบบริโภคภายใน แม้จะมีข้อตกลงกับประเทศอื่นเพียง 2 ฉบับ แต่ยังคาดว่าจะเกิดความเร่งรีบในการลงนามก่อนถึงเส้นตาย 1 สิงหาคม โดยย้ำว่าหลังเส้นตาย ภาษีจะกลับสู่ระดับที่เคยประกาศไว้เมื่อ 2 เมษายน แต่สหรัฐฯ ยังพร้อมเจรจาต่อรองหากมีความคืบหน้า
ตลาดคาดเฟดตึงดอกเบี้ย สวนทางรัฐบาลสหรัฐฯ เร่งลดดอกเบี้ยในการประชุมครั้งนี้
การประชุมธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) ในวันที่ 30-31 กรกฎาคมนี้ โพสสำรวจจาก CME FedWatch Tool ให้น้ำหนัก 95.9% เฟดจะยังคงอัตราดอกเบี้ยที่ระดับ 4.25 – 4.50% ต่อไป และจะเริ่มปรับลดอกเบี้ย 2 ครั้ง ครั้งละ 0.25% ในเดือนกันยายน และ ธันวาคม
ขณะที่ด้านสก็อตต์ เบสเซนต์ รัฐมนตรีคลังสหรัฐฯ เรียกร้องให้มีการทบทวนบทบาทของธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) อย่างครอบคลุม โดยไม่จำกัดเพียงแค่แผนปรับปรุงสำนักงานใหญ่ของเฟดเท่านั้น แต่รวมถึงการประเมินผลการดำเนินงานทั้งหมดว่า “เฟดประสบความสำเร็จจริงหรือไม่” ท่าทีนี้สะท้อนถึงความตึงเครียดที่เพิ่มขึ้นระหว่างทำเนียบขาวกับเฟดในประเด็นการปรับลดอัตราดอกเบี้ย ซึ่งฝ่ายบริหารของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์พยายามกดดันเฟดอย่างต่อเนื่องให้ผ่อนคลายนโยบายการเงินมากขึ้น
ช่วงสัปดาห์ก่อนสถานการณ์ยิ่งร้อนแรงขึ้นหลังมีรายงานจาก Wall Street Journal และสื่อต่างประเทศว่า ทรัมป์กำลังพิจารณาปลดเจอโรม พาวเวล ออกจากตำแหน่งประธานเฟด แม้ทรัมป์จะออกมาปฏิเสธในเวลาต่อมา แต่รายงานหลายฉบับชี้ว่า เบสเซนต์มีบทบาทสำคัญในการโน้มน้าวให้ทรัมป์ชะลอการดำเนินการดังกล่าว และยังถูกมองว่าเป็นหนึ่งในตัวเต็งที่จะขึ้นมาแทนตำแหน่งประธานเฟดในอนาคต เบสเซนต์ยังแสดงจุดยืนชัดว่า เฟดควรลดอัตราดอกเบี้ย เนื่องจากอัตราเงินเฟ้อยังคงอยู่ในระดับต่ำ และมองว่าเฟดยังยึดติดอยู่กับแนวคิดล้าสมัยเกี่ยวกับความเสี่ยงจากภาษีศุลกากร ทั้งที่ “จนถึงขณะนี้ เรายังแทบไม่เห็นเงินเฟ้อเลย” ซึ่งเป็นการวิจารณ์ต่อท่าทีระมัดระวังของเฟดภายใต้การนำของพาวเวลอย่างตรงไปตรงมา ท่าทีของเบสเซนต์สอดคล้องกับแนวทางของพรรครีพับลิกันที่เคยเสนอให้ ถอดถอนพาวเวลจากตำแหน่ง และสนับสนุนให้มีการจำกัดอำนาจของเฟดมากขึ้น ย้อนกลับไปในปี 2019 ทรัมป์เคยวิพากษ์วิจารณ์พาวเวลอย่างเปิดเผยผ่านทวิตเตอร์ และเรียกร้องให้เฟดลดดอกเบี้ยเร็วกว่าที่พาวเวลดำเนินการ โดยระบุว่า “เฟดเป็นปัญหาเดียวที่เศรษฐกิจเราต้องเผชิญ” โดยท่าทีล่าสุดของเบสเซนต์จึงสะท้อนถึงยุทธศาสตร์ของรัฐบาลทรัมป์ในการกดดันเฟด เพื่อให้สนับสนุนเป้าหมายเศรษฐกิจในระยะสั้นของฝ่ายบริหาร และเปิดทางให้ผู้มีแนวคิดในทิศทางเดียวกันเข้ามามีบทบาทมากขึ้นในระบบการเงินของสหรัฐฯ
ประเด็นสำคัญที่ต้องติดตามในสัปดาห์
- โค้งสุดท้ายการเจรจาการค้าระหว่างสหรัฐฯ กับประเทศคู่ค้า ซึ่งสัปดาห์นี้จะครบกำหนดเส้นตายในวันที่ 1 ส.ค.
- คืนวันที่ 30 ก.ค. เวลา 01.00 น. ติดตามการประชุมธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) ตลาดคาดการณ์เฟดจะยังคงดอกเบี้ยที่ระดับ 4.25- 4.50% พร้อมติดตามถ้อยแถลงนายเจอโรม พาวเวล ประธานเฟด เกี่ยวมุมมองเศรษฐกิจและอัตราดอกเบี้ยในอนาคต
- ตัวเลขสำคัญทางศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่จะเปิดเผยในสัปดาห์
29 ก.ค. – ตำแหน่งงานเปิดรับสมัครใหม่ (JOLTS) เดือนมิ.ย.
30 ก.ค – การจ้างงานนอกภาคเกษตร (ADP) เดือนก.ค., จีดีพี ไตรมาส 2 ประมาณการครั้งที่ 1
31 ก.ค. – ดัชนีราคาการใช้จ่ายเพื่อการบริโภคส่วนบุคคล เดือนมิ.ย.
1 ส.ค. – การจ้างงานนอกภาคเกษตร อัตราการว่างงาน เดือนก.ค.
แนวโน้มราคาทอง
ราคาทองโลกปรับตัวขึ้นทดสอบใกล้ 3,440 ดอลลาร์ ในช่วงต้นสัปดาห์ที่ผ่านมา แต่ยังไม่สามารถทะลุผ่านขึ้นไปได้ ส่งผลให้ภาพจากกราฟรายวันคล้ายเกิดเป็น Triple Top Pattern และกลับมาเกิดแรงเทขายอย่างหนักติดต่อกันเป็นเวลา 3 วัน ทดสอบแนวรับบริเวณ 3,325 ดอลลาร์ ซึ่งเป็นเส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ EMA50 วัน และเส้นเทรนแนวโน้มด้านล่าง ระยะสั้นคาดว่ามีโอกาสเกิด Technical Rebound จากภาวะ Bullish Divergence ใน MACD และ RSI จากกราฟรายชั่วโมง ซึ่งคาดว่าแรงซื้อกลับ แต่อาจมีแนวต้านที่จำกัดบริเวณ 3,365 – 3,370 ดอลลาร์ แต่หากทะลุขึ้นไปได้ มีโอกาสปรับตัวขึ้นทดสอบจุดสูงเดิมที่ 3,440 ดอลลาร์ ในทางกลับกันหากราคาทองโลกหลุดแนวรับ 3,320 ดอลลาร์ ระวังเกิดแรงเทขายรอบใหม่ ซึ่งอาจปรับตัวลงทดสอบเส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ EMA100 วัน ที่ 3,240 ดอลลาร์ ต่อไป
แนะนำการลงทุนในสัปดาห์ เปิดสถานะซื้อเมื่อราคาปรับตัวลงบริเวณ 51,000 – 51,100 บาท โดยมีจุดตัดขาดทุนที่ระดับ 50,800 บาท ขณะที่สามารถปิดขายทำกำไรบางส่วน เมื่อราคาปรับตัวขึ้นบริเวณ 51,600 บาท และถัดไปที่ระดับ 52,100 บาท










