.

ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดบวกติดต่อกันเป็นวันที่ 3 ในวันอังคาร (24 ม.ค.) ขานรับผลประกอบการที่ดีเกินคาดของบริษัทจดทะเบียน ซึ่งรวมถึงบริษัทเจเนอรัล อิเลคทริค (GE) อย่างไรก็ดี ภาวะการซื้อขายเป็นไปอย่างผันผวน โดยดัชนี S&P500 และ Nasdaq ต่างก็ปิดในแดนลบ หลังจากตลาดหลักทรัพย์นิวยอร์กประกาศระงับซื้อขายหุ้นของหลายสิบบริษัทเนื่องจากปัญหาทางเทคนิค

 

ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 33,733.96 จุด เพิ่มขึ้น 104.40 จุด หรือ +0.31%, ดัชนี S&P500 ปิดที่ 4,016.95 จุด ลดลง 2.86 จุด หรือ -0.07% และดัชนี Nasdaq ปิดที่ 11,334.27 จุด ลดลง 30.14 จุด หรือ -0.27%

 

บรรยากาศการซื้อขายได้รับผลกระทบจากการที่ตลาดหลักทรัพย์นิวยอร์ก (NYSE) ประกาศระงับการซื้อขายหุ้นของกว่า 80 บริษัท เนื่องจากประสบปัญหาทางเทคนิค หลังจากเปิดตลาดได้ไม่นาน โดยหุ้นของบริษัทที่ถูกระงับซื้อขายรวมถึงมอร์แกน สแตนลีย์, เวอไรซอน คอมมูนิเคชันส์, เอทีแอนด์ที, ไนกี้ และแมคโดนัลด์

 

ทั้งนี้ ระบบของ NYSE ได้ระงับการซื้อขายหุ้นดังกล่าวโดยอัตโนมัติ หลังพบว่าหุ้นเหล่านี้มีการแกว่งตัวอย่างรุนแรง ส่งผลให้ระบบ NYSE ตัดการซื้อขายหุ้นเพื่อสกัดความผันผวนในตลาด อย่างไรก็ดี NYSE ออกแถลงการณ์ในเวลาต่อมาว่า ทางตลาดสามารถทำการซื้อขายหลักทรัพย์ได้ตามปกติแล้ว หลังจากประสบปัญหาทางเทคนิคก่อนหน้านี้

 

หุ้น 6 ใน 11 กลุ่มที่คำนวณในดัชนี S&P500 ปิดในแดนบวก นำโดยดัชนีหุ้นกลุ่มอุตสาหกรรมปรับตัวขึ้น 0.65% และดัชนีหุ้นกลุ่มสาธารณูปโภคดีดตัวขึ้น 0.49% ส่วนดัชนีหุ้นกลุ่มการสื่อสารและดัชนีหุ้นกลุ่มเฮลธ์แคร์ ปรับตัวลง 0.69% และ 0.65% ตามลำดับ

 

หุ้นเวอไรซอน พุ่งขึ้น 1.99% หลังบริษัทเปิดเผยกำไรต่อหุ้นในไตรมาส 4/2565 อยู่ที่ 1.19 ดอลลาร์ และมีรายได้ 3.53 หมื่นล้านดอลลาร์ ซึ่งสอดคล้องกับการคาดการณ์ของนักวิเคราะห์

 

บริษัทจอห์นสัน แอนด์ จอห์นสัน เปิดเผยกำไรต่อหุ้นในไตรมาส 4/2565 อยู่ที่ 2.35 ดอลลาร์ สูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ 2.23 ดอลลาร์ นอกจากนี้ บริษัทคาดการณ์กำไรต่อหุ้นในปี 2566 ที่ระดับ 10.40-10.60 ดอลลาร์ สูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ 10.33 ดอลลาร์

 

หุ้น GE พุ่งขึ้น 1.13% หลังบริษัทเปิดเผยกำไรต่อหุ้นในไตรมาส 4/2565 ที่ระดับ 1.24 ดอลลาร์ สูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดไว้ที่ระดับ 1.13 ดอลลาร์

 

ส่วนหุ้น 3M ร่วงลง 6.25% และหุ้นยูเนียน แปซิฟิก ดิ่งลง 3.3% หลังจากทั้งสองบริษัทเปิดเผยผลประกอบการที่ต่ำกว่าคาด

 

เอสแอนด์พี โกลบอลเปิดเผยว่า ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) รวมภาคการผลิตและภาคบริการเบื้องต้นของสหรัฐ ปรับตัวขึ้นสู่ระดับ 46.6 ในเดือนม.ค. ซึ่งเป็นระดับสูงสุดในรอบ 3 เดือน จากระดับ 45.0 ในเดือนธ.ค.

 

อย่างไรก็ดี ดัชนี PMI ยังคงอยู่ต่ำกว่าระดับ 50 ซึ่งบ่งชี้ว่าภาคธุรกิจของสหรัฐอยู่ในภาวะหดตัว โดยหดตัวเป็นเดือนที่ 7 ติดต่อกัน สะท้อนให้เห็นว่าการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเชิงรุกของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) กำลังส่งผลกระทบต่ออุปสงค์

 

ข้อมูลล่าสุดจากรีฟินิทิฟ (Refinitiv) ระบุว่า บริษัท 72 แห่งที่จดทะเบียนในดัชนี S&P500 ได้รายงานผลประกอบการประจำไตรมาส 4/2565 แล้ว โดยในจำนวนนี้มี 65% ที่รายงานผลประกอบการดีเกินคาด

 

นักลงทุนจับตาข้อมูลเศรษฐกิจที่สำคัญของสหรัฐในสัปดาห์นี้ ซึ่งรวมถึงการเปิดเผยตัวเลขประมาณการเบื้องต้นของผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) ประจำไตรมาส 4/2565 ในวันพฤหัสบดีนี้

 

ส่วนในวันศุกร์จะมีการเปิดเผยดัชนีราคาการใช้จ่ายเพื่อการบริโภคส่วนบุคคล (PCE) โดยดัชนี PCE เป็นมาตรวัดเงินเฟ้อที่เฟดให้ความสำคัญ เนื่องจากสามารถตรวจจับการเปลี่ยนแปลงในพฤติกรรมของผู้บริโภค อีกทั้งมีความครอบคลุมราคาสินค้าและบริการในวงกว้างมากกว่าดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI)

 

ที่มา สำนักข่าวอินโฟเควสท์