.

ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดร่วงลงเกือบ 700 จุดในวันอังคาร (21 ก.พ.) เนื่องจากนักลงทุนกังวลว่า ข้อมูลที่บ่งชี้ถึงความแข็งแกร่งของกิจกรรมทางธุรกิจในสหรัฐจะผลักดันให้ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ปรับขึ้นดอกเบี้ยเป็นเวลานานขึ้นเพื่อสกัดเงินเฟ้อ นอกจากนี้ ตลาดยังถูกกดดันจากผลประกอบการที่อ่อนแอของบริษัทค้าปลีก และอัตราผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐที่พุ่งขึ้นแตะระดับสูงสุดในรอบ 3 เดือน

 

ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 33,129.59 จุด ร่วงลง 697.10 จุด หรือ -2.06%, ดัชนี S&P500 ปิดที่ 3,997.34 จุด ลดลง 81.75 จุด หรือ -2.00% และดัชนี Nasdaq ปิดที่ 11,492.30 จุด ดิ่งลง 294.97 จุด หรือ -2.50%

 

เอสแอนด์พี โกลบอลเปิดเผยว่า ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) รวมภาคการผลิตและภาคบริการเบื้องต้นเดือนก.พ.ของสหรัฐพุ่งขึ้นแตะระดับ 50.2 ซึ่งเป็นระดับสูงสุดในรอบ 8 เดือน จากระดับ 46.8 ในเดือนม.ค. โดยดัชนีที่สูงกว่าระดับ 50 บ่งชี้ว่าภาคธุรกิจของสหรัฐมีการขยายตัว

 

นักลงทุนมองว่า ข้อมูลล่าสุด รวมทั้งข้อมูลที่มีการเปิดเผยในช่วงที่ผ่านมานั้น บ่งชี้ถึงการฟื้นตัวอย่างแข็งแกร่งของเศรษฐกิจสหรัฐและอาจส่งผลให้เฟดปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเป็นเวลานานกว่าที่คาดการณ์ไว้ ซึ่งความกังวลดังกล่าวได้ฉุดตลาดหุ้นนิวยอร์กร่วงลงในวันเดียวที่รุนแรงที่สุดนับตั้งแต่วันที่ 15 ธ.ค. 2565

 

โกลด์แมน แซคส์คาดการณ์ว่า เฟดจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 0.25% อีก 3 ครั้งในปีนี้ สู่ระดับสูงสุดที่ 5.25-5.50% ซึ่งสอดคล้องกับข้อมูลของ FedWatch Tool ของ CME Group ซึ่งบ่งชี้ว่า นักลงทุนคาดว่าเฟดจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในการประชุมเดือนมี.ค., พ.ค. และมิ.ย. ครั้งละ 0.25% สู่ระดับสูงสุดที่ 5.25-5.50% และตรึงอัตราดอกเบี้ยเอาไว้ที่ระดับดังกล่าว ก่อนที่จะปรับลดอัตราดอกเบี้ย 0.25% ในเดือนธ.ค.

 

อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐอายุ 10 ปีพุ่งขึ้นแตะระดับ 3.95% ซึ่งเป็นระดับสูงสุดนับตั้งแต่วันที่ 10 พ.ย. 2565 เมื่อคืนนี้ และเป็นปัจจัยฉุดหุ้นเติบโต (Growth Stocks) ซึ่งเป็นหุ้นที่มีความอ่อนไหวต่ออัตราดอกเบี้ย อีกทั้งต้องพึ่งพาผลกำไรและการเติบโตในอนาคต โดยหุ้นกลุ่มนี้รวมถึงหุ้นบริษัทเทคโนโลยีที่มีทุนจดทะเบียนสูง ทั้งนี้ หุ้นอัลฟาเบท ดิ่งลง 2.71% หุ้นแอปเปิ้ล ร่วงลง 2.67% หุ้นอะเมซอน ร่วงลง 2.7% หุ้นไมโครซอฟท์ ร่วงลง 2.09% หุ้นเน็ตฟลิกซ์ ร่วงลง 3.01% หุ้นอินวิเดีย ดิ่งลง 3.43%

 

หุ้นเมตา แพลทฟอร์มส์ ซึ่งเป็นบริษัทแม่ของเฟซบุ๊ก ปรับตัวลง 0.46% หลังจากบริษัทประกาศเปิดตัวบริการสมัครสมาชิกแบบชำระเงินในชื่อ “Meta Verified” โดยจะมีฟีเจอร์และสิทธิพิเศษเพิ่มเติมให้ เช่น มีเครื่องหมายยืนยันตัวตน และเพิ่มการมองเห็น ซึ่งบริการดังกล่าวมีราคาอยู่ที่ 11.99 ดอลลาร์ต่อเดือน โดยมีกลุ่มเป้าหมายหลักคือคอนเทนต์ครีเอเตอร์

 

หุ้นเทสลา ร่วงลง 5.25% หลังจากสำนักงานความปลอดภัยด้านการจราจรบนทางหลวงแห่งชาติสหรัฐ (NHTSA) มีคำสั่งให้บริษัทเทสลาเปิดเผยข้อมูลเพิ่มเติม จากกรณีรถยนต์ของเทสลาคันหนึ่งพุ่งชนรถดับเพลิงในเมืองซานฟรานซิสโก ส่งผลให้คนขับรถเทสลาเสียชีวิตในที่เกิดเหตุ ส่วนผู้โดยสาร 1 รายและเจ้าหน้าที่ดับเพลิงอีก 4 รายถูกนำตัวส่งโรงพยาบาล

 

นอกจากนี้ ตลาดยังได้รับแรงกดดันจากผลประกอบการที่อ่อนแอของบริษัทค้าปลีก โดยโฮม ดีโปท์ ซึ่งเป็นบริษัทจำหน่ายสินค้าตกแต่งบ้านรายใหญ่ที่สุดของสหรัฐเปิดเผยว่า บริษัทมีรายได้ในไตรมาส 4/2565 อยู่ที่ 3.583 หมื่นล้านดอลลาร์ ต่ำกว่าตัวเลขคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ที่ระดับ 3.597 หมื่นล้านดอลลาร์ โดยข้อมูลดังกล่าวส่งผลให้ราคาหุ้นโฮม ดีโปท์ปิดตลาดร่วงลง 7.06%

 

ส่วนหุ้นวอลมาร์ท ซึ่งเป็นบริษัทค้าปลีกใหญ่ที่สุดในโลก ขยับขึ้นเพียง 0.61% หลังจากเปิดเผยรายได้ในไตรมาส 4/2565 อยู่ที่  1.6405 แสนล้านดอลลาร์ สูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ 1.5972 แสนล้านดอลลาร์ แต่บริษัทเปิดเผยตัวเลขคาดการณ์ผลประกอบการประจำปี 2566 ที่ต่ำกว่าคาด

 

นักลงทุนจับตาการเปิดเผยรายงานการประชุมเฟดประจำวันที่ 31 ม.ค.-1 ก.พ.ในวันนี้ (22 ก.พ.) ตามเวลาสหรัฐ รวมทั้งดัชนีราคาการใช้จ่ายเพื่อการบริโภคส่วนบุคคล (PCE) เดือนม.ค.ในวันศุกร์ที่ 24 ก.พ. เพื่อหาสัญญาณบ่งชี้ทิศทางอัตราดอกเบี้ยของเฟด โดยดัชนี PCE เป็นมาตรวัดเงินเฟ้อที่สามารถตรวจจับการเปลี่ยนแปลงในพฤติกรรมของผู้บริโภค และครอบคลุมราคาสินค้าและบริการในวงกว้างมากกว่าข้อมูลดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI)

 

ที่มา สำนักข่าวอินโฟเควสท์