.

บรรดานักลงทุนในตลาดการเงินจับตาการประชุมของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ในวันที่ 3-4 พ.ค.นี้ ท่ามกลางกระแสคาดการณ์ที่ว่า เฟดจะปรับขึ้นดอกเบี้ย 0.5% ในการประชุมครั้งนี้ เพื่อสกัดเงินเฟ้อของสหรัฐที่พุ่งขึ้นแตะระดับสูงสุดในรอบ 40 ปี

 

อย่างไรก็ดี นักลงทุนไม่มั่นใจว่าการเร่งปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของเฟดจะส่งผลให้เศรษฐกิจสหรัฐเข้าสู่ภาวะถดถอยหรือไม่ ซึ่งความกังวลในเรื่องดังกล่าวเป็นปัจจัยฉุดตลาดหุ้นสหรัฐร่วงลงเป็นเวลาหลายวัน ส่วนในการซื้อขายเมื่อวันจันทร์ (2 พ.ค.) ดัชนีดาวโจนส์ร่วงลงกว่า 500 จุดในระหว่างวัน ก่อนที่จะดีดตัวขึ้นปิดตลาดในแดนบวกเพียงเล็กน้อย เนื่องจากมีแรงช้อนซื้อช่วงท้ายตลาด

 

นายโรเจอร์ เฟอร์กูสัน อดีตรองประธานธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) เปิดเผยในรายการ “Squawk Box” ของสถานีโทรทัศน์ซีเอ็นบีซีว่า “ภาวะเศรษฐกิจถดถอยอาจจะเป็นเรื่องที่ไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ ส่วนตัวผมเองผมคิดว่าเศรษฐกิจสหรัฐมีโอกาสสูงมากที่จะเผชิญกับการถดถอย เนื่องจากปัญหาหลักคือราคาน้ำมัน และสิ่งที่เฟดควรจะควบคุมคือความต้องการใช้น้ำมันที่สูงจนเกินไป”

 

นายเฟอร์กูสันยังกล่าวด้วยว่า ปัจจัยด้านอุปทานก็มีส่วนในการสร้างปัญหาเงินเฟ้อเช่นกัน ในขณะที่ความต้องการสินค้ามีปริมาณสูงกว่าซัพพลายในยุคที่เศรษฐกิจต้องเผชิญกับโรคโควิด-19

 

ทั้งนี้ นายเฟอร์กูสันคาดการณ์ว่า เศรษฐกิจสหรัฐจะเข้าสู่ภาวะถดถอยในปี 2566 แต่คาดว่าจะไม่ถดถอยรุนแรงนัก

 

ทางด้านนายเจมส์ บูลลาร์ด ประธานเฟดสาขาเซนต์หลุยส์กล่าวก่อนหน้านี้ว่า อัตราเงินเฟ้อในสหรัฐขณะนี้อยู่ในระดับที่สูงเกินไป และมีความเป็นไปได้ที่เฟดจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยถึง 0.75% จนแตะระดับ 3.5% ภายในสิ้นปีนี้ เพื่อสกัดอัตราเงินเฟ้อของสหรัฐที่พุ่งขึ้นแตะระดับสูงสุดในรอบ 40 ปี

 

ที่มา  สำนักข่าวอินโฟเควสท์