.

ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดพุ่งขึ้นในวันจันทร์ (31 ม.ค.) เนื่องจากนักลงทุนเข้าช้อนซื้อหุ้นกลุ่มเทคโนโลยี โดยเฉพาะหุ้นเน็ตฟลิกซ์และหุ้นเทสลาที่พุ่งขึ้นกว่า 10% หลังได้รับการปรับเพิ่มน้ำหนักความน่าลงทุนจากนักวิเคราะห์ นอกจากนี้ ตลาดยังได้แรงหนุนจากการพุ่งขึ้นของหุ้นโบอิ้ง ซึ่งเป็น 1 ใน 30 หลักทรัพย์ที่ใช้คำนวณดัชนีดาวโจนส์

 

ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 35,131.86 จุด เพิ่มขึ้น 406.39 จุด หรือ +1.17%, ดัชนี S&P500 ปิดที่ 4,515.55 จุด เพิ่มขึ้น 83.70 จุด หรือ +1.89% และดัชนี Nasdaq ปิดที่ 14,239.88 จุด เพิ่มขึ้น 469.31 จุด หรือ +3.41%

 

นักลงทุนเข้าช้อนซื้อหุ้นกลุ่มเทคโนโลยี หลังจากราคาหุ้นดิ่งลงอย่างหนักในเดือนม.ค. อันเนื่องความวิตกกังวลที่ว่าการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยและการใช้นโยบายคุมเข้มด้านการเงินของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) จะส่งผลกระทบต่อบริษัทเทคโนโลยีซึ่งต้องพึ่งพาอัตราดอกเบี้ยต่ำในการกู้ยืมเงินเพื่อลงทุนด้านนวัตกรรม

 

ทั้งนี้ หุ้นแอปเปิล พุ่งขึ้น 2.61% หุ้น NVIDIA ทะยานขึ้น 7.21% หุ้นอัลฟาเบท เพิ่มขึ้น 1.46% หุ้นแอมะซอน พุ่งขึ้น 3.89% หุ้นเมตา แพลตส์ฟอร์ม (เฟซบุ๊ณก) พุ่งขึ้น 3.83%

 

หุ้นเน็ตฟลิกซ์ พุ่งขึ้น 11.13% ขณะที่หุ้นสปอติฟาย ทะยานขึ้น 13.46% หลังจากนักวิเคราะห์ของซิตี้กรุ๊ปได้ปรับเพิ่มน้ำหนักความน่าลงทุนของหุ้นทั้งสองบริษัทขึ้นสู่ระดับ “Buy” โดยระบุว่า การที่หุ้นเน็ตฟลิกซ์และหุ้นสปอติฟายดิ่งลง 30% และ 16% ตามลำดับในเดือนม.ค. ทำให้ราคาหุ้นมีความน่าดึงดูดอย่างมากในช้อนซื้อเพื่อเก็งกำไร

 

หุ้นโบอิ้ง พุ่งขึ้น 5.07% ขานรับรายงานที่ว่า สายการบินกาตาร์ แอร์เวย์สได้ลงนามในข้อตกลงสั่งซื้อเครื่องบินโดยสารรุ่น 737 Max และรุ่น 777X คิดเป็นมูลค่ารวม 3.4 หมื่นล้านดอลลาร์

 

หุ้นเทสลา พุ่งขึ้น 10.68% หลังจากนักวิเคราะห์ของเครดิตสวิสปรับเพิ่มน้ำหนักความน่าลงทุนของหุ้นเทสลาขึ้นสู่ระดับ “Overweight” พร้อมกับคาดการณ์ว่าราคาหุ้นเทสลามีแนวโน้มดีดตัวขึ้นอีกกว่า 20% ในวันข้างหน้า

 

การพุ่งขึ้นของหุ้นเทสลาเป็นปัจจัยหนุนหุ้นบริษัทผลิตรถยนต์ไฟฟ้ารายอื่นๆเช่นกัน โดยหุ้นลูซิด พุ่งขึ้น 8.25% หุ้นลอร์ดสทาวน์ มอเตอร์ ทะยานขึ้น 22.45% และหุ้นนีโอจีโนมิกส์ พุ่งขึ้น 6.42%

 

อย่างไรก็ดี เมื่อพิจารณาตลอดเดือนม.ค. ดัชนีดาวโจนส์ปรับตัวลง 3.3% ส่วนดัชนี S&P500 ลดลง 5.3% และดัชนี Nasdaq ร่วงลง 8.9% โดยทั้งสองดัชนีปรับตัวลงรายเดือนที่ย่ำแย่ที่สุดนับตั้งแต่เดือนมี.ค. 2563

 

นักลงทุนยังคงจับตาสถานการณ์ตึงเครียดทางการเมืองระหว่างชาติตะวันตกกับรัสเซียเกี่ยวกับประเด็นยูเครน โดยล่าสุดรัฐบาลอังกฤษเตือนว่าจะใช้มาตรการคว่ำบาตรธุรกิจและบุคคลที่มีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับประธานาธิบดีวลาดิเมียร์ ปูติน หากรัสเซียกระทำการใด ๆ กับยูเครน ขณะที่นายจอห์น เคอร์บี้ โฆษกกระทรวงกลาโหมสหรัฐเปิดเผยว่า รัสเซียยังคงเพิ่มกำลังทหารใกล้ชายแดนยูเครนในช่วงสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา

 

นอกจากนี้ นักลงทุนยังรอดูตัวเลขจ้างงานนอกภาคเกษตรของสหรัฐซึ่งมีกำหนดเปิดเผยในวันศุกร์นี้ ขณะที่ทำเนียบขาวเตือนว่า ตัวเลขจ้างงานเดือนม.ค.ของสหรัฐอาจได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 สายพันธุ์โอมิครอน

 

นักวิเคราะห์ในโพลสำรวจของสำนักข่าวดาวโจนส์คาดการณ์ว่า ตัวเลขจ้างงานนอกภาคเกษตรเดือนม.ค.ของสหรัฐจะเพิ่มขึ้นเพียง 178,000 ตำแหน่ง และคาดว่าอัตราว่างงานจะทรงตัวอยู่ที่ 3.9%

 

ส่วนข้อมูลเศรษฐกิจด้านอื่น ๆ ของสหรัฐที่มีกำหนดเปิดเผยในสัปดาห์นี้ได้อก่ ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) ภาคการผลิตขั้นสุดท้ายเดือนม.ค.จากมาร์กิต, ดัชนีภาคการผลิตเดือนม.ค.จากสถาบันจัดการด้านอุปทานของสหรัฐ (ISM), การใช้จ่ายด้านการก่อสร้างเดือนธ.ค., ตัวเลขจ้างงานภาคเอกชนเดือนม.ค.จาก ADP,จำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์, ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) ภาคบริการขั้นสุดท้ายเดือนม.ค.จากมาร์กิต, ดัชนีภาคบริการเดือนม.ค.จากสถาบันจัดการด้านอุปทานของสหรัฐ (ISM) และยอดสั่งซื้อภาคโรงงานเดือนธ.ค.

 

ที่มา  สำนักข่าวอินโฟเควสท์