.

สำนักงานงบประมาณแห่งสภาคองเกรสสหรัฐ (CBO) คาดการณ์ว่า ยอดขาดดุลงบประมาณของรัฐบาลสหรัฐจะลดลงราว 1.5 ล้านล้านดอลลาร์ในช่วง 10 ปีข้างหน้า หากร่างกฎหมายเพดานหนี้ฉบับปัจจุบันสามารถผ่านความเห็นชอบจากสภาคองเกรสและมีผลบังคับใช้เป็นกฎหมาย

 

การคาดการณ์ดังกล่าวของ CBO มีขึ้นหลังจากประธานาธิบดีโจ ไบเดน ผู้นำสหรัฐ และนายเควิน แมคคาร์ธี ประธานสภาผู้แทนราษฎรสหรัฐ สามารถบรรลุข้อตกลงการปรับเพิ่มเพดานหนี้เป็นผลสำเร็จ ซึ่งถือเป็นขั้นตอนสำคัญในการผลักดันร่างกฎหมายการขยายเพดานหนี้เข้าสู่การพิจารณาของสภาคองเกรส

 

ทั้งนี้ สภาผู้แทนราษฎรสหรัฐเต็มคณะจะโหวตร่างกฎหมายดังกล่าวในวันพุธที่ 31 พ.ค. ก่อนที่จะส่งต่อเข้าสู่การพิจารณาของวุฒิสภาสหรัฐ และหากวุฒิสภาให้ความเห็นชอบ ก็จะส่งต่อให้ปธน.ไบเดนลงนามเป็นกฎหมายเพื่อให้มีผลบังคับใช้ต่อไป

 

ข้อตกลงที่ทำขึ้นระหว่างปธน.ไบเดนและนายแมคคาร์ธีนั้น ครอบคลุมถึงการระงับเพดานหนี้ไปจนถึงวันที่ 1 ม.ค. 2568 รวมทั้งกำหนดเพดานการใช้จ่ายในปีงบประมาณ 2567-2568 และเร่งกระบวนการอนุมัติโครงการพลังงานบางโครงการ

 

“การปรับลดการใช้จ่ายในโครงการต่าง ๆ ที่สภาคองเกรสต้องทำการอนุมัติเป็นรายปี (Discretionary Spending) จะทำให้รัฐบาลมีงบประมาณเหลือราว 1.3 ล้านล้านดอลลาร์ในช่วงปีงบประมาณ 2567-2568” CBO ระบุในแถลงการณ์ พร้อมกับกล่าวว่า อัตราดอกเบี้ยที่รัฐบาลต้องจ่ายให้กับผู้ถือพันธบัตรนั้น จะลดลงราว 1.88 แสนล้านดอลลาร์

 

รายงานล่าสุดระบุว่า ร่างกฎหมายการขยายเพดานหนี้ของสหรัฐได้ผ่านบททดสอบด่านแรกในการพิจารณาของคณะกรรมาธิการพิจารณาข้อบังคับแห่งสภาผู้แทนราษฎรสหรัฐ (House Rules Committee) ในวันอังคาร (30 พ.ค.) ตามเวลาสหรัฐด้วยคะแนนเสียง 7 ต่อ 6 เสียง แม้สมาชิกพรรครีพับลิกัน 2 ใน 9 คนในคณะกรรมาธิการฯ กล่าวว่า พวกเขาคัดค้านการส่งร่างกฎหมายดังกล่าวเข้าสู่ขั้นตอนการพิจารณาของสภาผู้แทนราษฎรเต็มคณะในวันพุธที่ 31 พ.ค.ตามเวลาสหรัฐ

 

นายโธมัส แมสซี สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจากรัฐเคนทักกีซึ่งเป็นตัวแปรคนสำคัญของพรรครีพับลิกันในการโหวตครั้งนี้ได้สนับสนุนร่างกฎหมายฉบับนี้ให้ผ่านเข้าไปสู่ขั้นตอนการพิจารณาของสภาผู้แทนราษฎรเต็มคณะ ซึ่งทำให้มีสมาชิกพรรครีพับลิกันจำนวน 7 คนจากทั้งหมด 9 คนในคณะกรรมการฯ ที่ลงมติอนุมัติ โดยถือว่าเพียงพอในการผลักดันร่างกฎหมายเข้าสู่การพิจารณาในสภาผู้แทนราษฎรเต็มคณะ

 

ที่มา  สำนักข่าวอินโฟเควสท์