.

ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดบวกในวันศุกร์ (27 ม.ค.) เนื่องจากนักลงทุนขานรับการเปิดเผยข้อมูลเศรษฐกิจที่บ่งชี้ว่าเงินเฟ้อชะลอตัวลง รวมถึงการรายงานผลประกอบการไตรมาส 4 ของบริษัทจดทะเบียนที่ดีกว่าคาด นอกจากนี้ นักลงทุนจับตาการประชุมกำหนดนโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ในสัปดาห์หน้า

 

ทั้งนี้ ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 33,978.08 จุด เพิ่มขึ้น 28.67 จุด หรือ +0.08%, ดัชนี S&P500 ปิดที่ 4,070.56 จุด เพิ่มขึ้น 10.13 จุด หรือ +0.25% และดัชนี Nasdaq ปิดที่ 11,621.71 จุด เพิ่มขึ้น 109.30 จุด หรือ +0.95%

 

ในรอบสัปดาห์ที่ผ่านมา ดัชนีดาวโจนส์ เพิ่มขึ้น 1.8%, ดัชนี S&P500 บวก 2.5% และดัชนี Nasdaq พุ่งขึ้น 4.3%

 

ดัชนีดาวโจนส์และ S&P500 ปรับตัวขึ้นเป็นสัปดาห์ที่ 3 ขณะที่ดัชนี Nasdaq ปรับตัวขึ้นเป็นสัปดาห์ที่ 4 ติดต่อกัน ซึ่งเป็นการปรับตัวขึ้นรายสัปดาห์ต่อเนื่องยาวนานที่สุดนับตั้งแต่เดือนส.ค.

 

ตั้งแต่ต้นปีจนถึงขณะนี้ ดัชนีดาวโจนส์บวก 2.5%, ดัชนี S&P500 เพิ่มขึ้น 6% และดัชนี Nasdaq พุ่งขึ้น 11%

 

นายไรอัน ดีทริค หัวหน้านักวิเคราะห์ตลาดของคาร์สัน กรุ๊ปในโอมาฮากล่าวว่า “เงินเฟ้อยังคงชะลอตัวลงอย่างรวดเร็ว และได้ช่วยคลายความวิตกอย่างมากเกี่ยวกับภาวะเศรษฐกิจ”

 

ตลาดได้แรงหนุนจากการเปิดเผยข้อมูลเศรษฐกิจของสหรัฐที่บ่งชี้ว่าอุปสงค์และเงินเฟ้อชะลอตัวลง ซึ่งเป็นไปตามเป้าหมายในการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของเฟด

 

กระทรวงพาณิชย์สหรัฐเปิดเผยว่า ดัชนี PCE ทั่วไป ซึ่งรวมหมวดอาหารและพลังงาน ปรับตัวขึ้น 5.0% ในเดือนธ.ค. เมื่อเทียบรายปี และชะลอตัวจากระดับ 5.5% ในเดือนพ.ย.

 

เมื่อเทียบรายเดือน ดัชนี PCE ทั่วไป เพิ่มขึ้น 0.1% ในเดือนธ.ค. หลังจากเพิ่มขึ้น 0.1% เช่นกันในเดือนพ.ย.

 

ส่วนดัชนี PCE พื้นฐาน ซึ่งไม่นับรวมหมวดอาหารและพลังงาน และเป็นมาตรวัดอัตราเงินเฟ้อที่ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ให้ความสำคัญ เพิ่มขึ้น 4.4% ในเดือนธ.ค. เมื่อเทียบรายปี สอดคล้องกับตัวเลขคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ หลังจากเพิ่มขึ้น 4.7% ในเดือนพ.ย.

 

เมื่อเทียบรายเดือน ดัชนี PCE พื้นฐานปรับตัวขึ้น 0.3% ในเดือนธ.ค. สอดคล้องกับตัวเลขคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ หลังจากเพิ่มขึ้น 0.2% ในเดือนพ.ย.

 

ทั้งนี้ ดัชนี PCE ถือเป็นมาตรวัดเงินเฟ้อที่สามารถตรวจจับการเปลี่ยนแปลงในพฤติกรรมของผู้บริโภค และครอบคลุมราคาสินค้าและบริการในวงกว้างมากกว่าข้อมูลดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI)

 

นักวิเคราะห์กล่าวว่า ข้อมูล PCE ที่ชะลอตัวจะเปิดโอกาสให้เฟดยุติการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในเชิงรุก

 

อย่างไรก็ตาม นายเจอโรม พาวเวล ประธานเฟดระบุอย่างชัดเจนว่า การต่อสู้ของเฟดกับเงินเฟ้อที่สูงสุดในรอบหลายสิบปีนั้นยังอีกยาวนานกว่าจะสิ้นสุด

 

ตลาดการเงินยังคงเชื่อว่า เฟดจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยระยะสั้นขึ้นอีก 0.25% ในการประชุมสัปดาห์หน้า (31 ม.ค.-1 ก.พ.)

 

นอกจากนี้ ตลาดจะยังคงจับตาการรายงานผลประกอบการไตรมาส 4/2565 ของบริษัทจดทะเบียน โดยบริษัท 143 แห่งในดัชนี S&P500 รายงานผลประกอบการออกมาแล้ว ซึ่ง 67.8% รายงานผลประกอบการเหนือความหมาย

 

หุ้น 6 ใน 11 กลุ่มของดัชนี S&P500 ปิดบวก โดยกลุ่มสินค้าฟุ่มเฟือยและกลุ่มอสังหาริมทรัพย์เพิ่มขึ้น 2.27% และ 0.94% ตามลำดับ ขณะที่หุ้นกลุ่มพลังงานปรับตัวลงมากที่สุด 1.99%

 

สำหรับหุ้นรายตัวนั้น หุ้นอเมริกัน เอ็กซ์เพรส และหุ้นวีซ่า พุ่งขึ้น 10.5% และ 3.0% ตามลำดับ หลังเปิดเผยผลประกอบการที่ดีเกินคาด แต่หุ้นอินเทล ร่วง 6.4% หลังเปิดเผยคาดการณ์ผลประกอบการที่น่าผิดหวัง และเชฟรอน ร่วง 4.4% หลังเปิดเผยผลกำไรในปี 2565 แต่ผลประกอบการไตรมาส 4 ต่ำกว่าคาด

 

ส่วนในสัปดาห์นี้ นักลงทุนจะมุ่งความสนใจไปที่การประชุมเฟด, ข้อมูลการจ้างงานเดือนม.ค. และการรายงานผลประกอบการของบริษัทชั้นนำ อาทิ แอปเปิ้ล, อะเมซอน.คอม, อัลฟาเบท และเมตา แพลตฟอร์ม

 

ที่มา  สำนักข่าวอินโฟเควสท์