.

ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดลบในวันจันทร์ (22 พ.ค.) เนื่องจากนักลงทุนชะลอการซื้อขายก่อนที่จะรู้ผลการเจรจาปรับเพิ่มเพดานหนี้ครั้งล่าสุดระหว่างประธานาธิบดีโจ ไบเดน ผู้นำสหรัฐ และนายเควิน แมคคาร์ธี ประธานสภาผู้แทนราษฎรสหรัฐ

 

ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 33,286.58 จุด ลดลง 140.05 จุด หรือ -0.42%, ดัชนี S&P500 ปิดที่ 4,192.63 จุด เพิ่มขึ้น 0.65 จุด หรือ +0.02% และดัชนี Nasdaq ปิดที่ 12,720.78 จุด เพิ่มขึ้น 62.88 จุด หรือ +0.50%

 

นักลงทุนจับตาผลการเจรจารอบใหม่เกี่ยวกับการปรับเพิ่มเพดานหนี้ระหว่างปธน.ไบเดนและนายแมคคาร์ธี หลังจากการเจรจาระหว่างคณะทำงานของพรรครีพับลิกันและเดโมแครตในสัปดาห์ที่แล้วไม่มีความคืบหน้า โดยขณะนี้เหลือเวลาอีกเพียง 10 วันก่อนที่จะถึงกำหนดเส้นตายของการผิดนัดชำระหนี้

 

นางเจเน็ต เยลเลน รัฐมนตรีคลังสหรัฐได้ส่งจดหมายเตือนถึงสภาคองเกรสเมื่อสัปดาห์ที่แล้วโดยมีใจความว่า “สหรัฐมีความเสี่ยงที่จะเผชิญกับการผิดนัดชำระหนี้อย่างเร็วที่สุดในวันที่ 1 มิ.ย.นี้ หากสภาคองเกรสไม่อนุมัติการขยายเพดานหนี้ ในอดีตที่ผ่านมานั้นสหรัฐได้รับบทเรียนว่าการประวิงเวลาจนถึงนาทีสุดท้ายก่อนที่จะปรับเพิ่มเพดานหนี้ ได้บั่นทอนความเชื่อมั่นต่อภาคธุรกิจและกลุ่มผู้บริโภคอย่างรุนแรง นอกจากนี้ ยังส่งผลกระทบต่ออันดับความน่าเชื่อถือของสหรัฐด้วย”

 

ตลาดยังได้รับแรงกดดันจากการที่เจ้าหน้าที่ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) สนับสนนุการเดินหน้าปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย โดยล่าสุดนายเจมส์ บูลลาร์ด ประธานเฟดสาขาเซนต์หลุยส์กล่าวว่า “เฟดยังคงมีความจำเป็นที่จะต้องปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอีก 0.50% ในปีนี้ เนื่องจากเงินเฟ้อมีความเสี่ยงที่จะไม่ปรับตัวลง และตราบใดที่ตลาดแรงงานยังคงมีความแข็งแกร่ง ก็เป็นเรื่องสำคัญที่เราจะต้องมั่นใจว่าปัญหาเงินเฟ้อจะไม่กลับมาเกิดขึ้น และซ้ำรอยช่วงทศวรรษ 1970”

 

คำกล่าวของนายบูลลาร์ดสอดคล้องกับนายนีล แคชแครี ประธานเฟดสาขามินเนอาโพลิสซึ่งกล่าวว่า หากเฟดพักการขึ้นดอกเบี้ยในเดือนหน้า ไม่ได้หมายความว่าเฟดได้ยุติวงจรการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย แต่หมายความว่าเฟดกำลังรอข้อมูลมากขึ้น และหากเงินเฟ้อยังไม่ชะลอตัวลง เขาจะสนับสนุนให้เฟดขึ้นอัตราดอกเบี้ยต่อไป

 

หุ้นเชฟรอน ร่วงลง 1.8% หลังจากเชฟรอนประกาศซื้อกิจการบริษัทพีดีซี เอนเนอร์จี ในวงเงิน 7.6 พันล้านดอลลาร์

 

หุ้นไมครอน เทคโนโลยี ร่วงลง 2.85% หลังจากจีนสั่งระงับการซื้อชิปจากไมครอน เทคโนโลยี โดยอ้างว่าผลิตภัณฑ์ชิปของบริษัทมีความเสี่ยงด้านความปลอดภัย

 

อย่างไรก็ดี ดัชนี Nasdaq ปิดในแดนบวก โดยได้แรงหนุนจากการพุ่งขึ้นของหุ้นกลุ่มเทคโนโลยี โดยหุ้นอัลฟาเบท พุ่งขึ้น 1.87% หุ้นอินเทล ดีดขึ้น 1.17% หุ้นเทสลา ทะยานขึ้น 4.85% หุ้นเมตา แพลตฟอร์มส์ ปรับตัวขึ้น 1.1%

 

นอกเหนือจากการเจรจาเพดานหนี้แล้ว นักลงทุนยังจับตาข้อมูลเศรษฐกิจของสหรัฐในสัปดาห์นี้ด้วย ซึ่งรวมถึงรายงานการประชุมประจำเดือนพ.ค.ของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด), ตัวเลข GDP ไตรมาส 1/2566 (ประมาณการครั้งที่ 2) และดัชนีราคาการใช้จ่ายเพื่อการบริโภคส่วนบุคคล (PCE) เดือนเม.ย. โดยดัชนี PCE เป็นมาตรวัดเงินเฟ้อที่เฟดให้ความสำคัญ เนื่องจากสามารถตรวจจับการเปลี่ยนแปลงในพฤติกรรมของผู้บริโภค และครอบคลุมราคาสินค้าและบริการในวงกว้างมากกว่าข้อมูลดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI)

 

ที่มา  สำนักข่าวอินโฟเควสท์