.

ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดลบในวันจันทร์ (19 ธ.ค.) เนื่องจากนักลงทุนยังคงกังวลว่าการเดินหน้าปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) จะฉุดเศรษฐกิจสหรัฐให้เข้าสู่ภาวะถดถอย ขณะเดียวกันนักลงทุนจับตาการเปิดเผยดัชนีราคาการใช้จ่ายเพื่อการบริโภคส่วนบุคคล (PCE) ของสหรัฐในวันศุกร์นี้ โดยดัชนี PCE ถือเป็นมาตรวัดเงินเฟ้อที่เฟดให้ความสำคัญ

 

ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 32,757.54 จุด ลดลง 162.92 จุด หรือ -0.49%, ดัชนี S&P500 ปิดที่ 3,817.66 จุด ลดลง 34.70 จุด หรือ -0.90% และดัชนี Nasdaq ปิดที่ 10,546.03 จุด ลดลง 159.38 จุด หรือ -1.49%

 

ดัชนีดาวโจนส์ปิดในแดนลบติดต่อกันเป็นวันที่ 4 เนื่องจากนักลงทุนหลีกเลี่ยงการลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยง ท่ามกลางความวิตกกังวลเกี่ยวกับภาวะเศรษฐกิจถดถอย หลังจากนายเจอโรม พาวเวล ประธานเฟดส่งสัญญาณเดินหน้าปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเชิงรุกต่อไป แม้มีข้อมูลบ่งชี้ว่าเศรษฐกิจเริ่มอ่อนแอลงก็ตาม

 

นักวิเคราะห์หลายรายมองว่า การส่งสัญญาณที่แข็งกร้าวของเฟดกำลังขัดขวางบรรยากาศการซื้อขายในช่วงปลายปี โดยเอ็ด โมยา นักวิเคราะห์จากบริษัท Oanda กล่าวว่า “เฟดใช้นโยบายการเงินอย่างเข้มงวด ขณะที่นายเจอโรม พาวเวลส่งสัญญาณได้ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยต่อไป โดยเฟดได้ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยถึง 4% ภายในเวลา 9 เดือน ทำให้มีความเสี่ยงมากขึ้นในการเกิดภาวะเศรษฐกิจถดถอย”

 

ขณะที่คริส ลาร์คิน นักวิเคราะห์จากมอร์แกน สแตนลีย์กล่าวว่า “เรากำลังเข้าสู่ช่วงปลายปี และนักลงทุนต่างก็รอคอยปรากฎการณ์ ‘ซานต้า แรลลี่’ แต่ขณะนี้ตลาดกลับร่วงลงอย่างต่อเนื่อง  ที่ผ่านมานั้นนักลงทุนคาดหวังว่าการที่เงินเฟ้อชะลอตัวลงอาจจะทำให้เฟดชะลอการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยซึ่งจะเป็นปัจจัยหนุนตลาด แต่เฟดและนายพาวเวลยังคงปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยและส่งสัญญาณเดินหน้าขึ้นดอกเบี้ยต่อไป ซึ่งสร้างความกังวลให้กับนักลงทุน”

 

อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐอายุ 10 ปีพุ่งขึ้นแตะระดับ 3.579% เมื่อคืนนี้ และเป็นอีกหนึ่งในปัจจัยที่ฉุดตลาด เนื่องจากการพุ่งขึ้นของพันธบัตรดังกล่าวซึ่งใช้อ้างอิงการกำหนดราคาตราสารหนี้ทั่วโลก รวมถึงอัตราดอกเบี้ยจำนองของสหรัฐด้วยนั้น จะทำให้ผู้บริโภคมีค่าใช้จ่ายในการจ่ายเงินกู้จำนองเพิ่มมากขึ้น ขณะที่บริษัทต่างๆจะเผชิญกับต้นทุนที่สูงขึ้นจากการชำระหนี้ ทำให้บริษัทเหล่านี้ลดการลงทุน และลดการจ่ายเงินปันผลแก่นักลงทุน

 

หุ้น 10 ใน 11 กลุ่มที่คำนวณในดัชนี S&P500 ปิดในแดนลบ นำโดยหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีและการสื่อสาร โดยหุ้นอัลฟาเบท ดิ่งลง 2.02% หุ้นไมโครซอฟท์ ร่วงลง 1.73% หุ้นสแนป ดิ่งลง 3.31%

 

หุ้นเมตา แพลตฟอร์มส์ ร่วงลง 4.1% หลังจากคณะกรรมาธิการยุโรปประกาศว่าจะลงโทษปรับบริษัทเมตาเป็นเงินสูงถึง 10% ของรายได้ทั่วโลกต่อปีของบริษัท หากมีหลักฐานบ่งชี้ว่าเมตาละเมิดกฎหมายต่อต้านการผูกขาดของสหภาพยุโรป

 

หุ้นเทสลาปิดตลาดปรับตัวลง 0.24% หลังจากที่พุ่งขึ้นกว่า 3% ในระหว่างวัน หลังมีรายงานว่าผู้ใช้ทวิตเตอร์ลงมติให้นายอีลอน มัสก์ ลาออกจากตำแหน่งซีอีโอของบริษัททวิตเตอร์

 

ทั้งนี้ นายมัสก์เปิดโอกาสให้ผู้ใช้ทวิตเตอร์โหวตแสดงความเห็นว่าเขาควรอยู่ในตำแหน่งหรือไม่ ซึ่งผลการสำรวจพบว่า ผู้ใช้ทวิตเตอร์ 57.5% ลงมติให้นายมัสก์ออกจากตำแหน่ง ขณะที่ 42.5% สนับสนุนให้เขาอยู่ในตำแหน่งต่อไป โดยมีผู้เข้าร่วมแสดงความเห็นมากกว่า 17.5 ล้านคน

 

หุ้นกลุ่มพลังงานดีดตัวขึ้นตามทิศทางราคาน้ำมัน โดยหุ้นเอ็กซอน โมบิล บวก 0.13% หุ้นเชฟรอน เพิ่มขึ้น 0.58% หุ้นฮัลลิเบอร์ตัน เพิ่มขึ้น 0.59%

 

นักลงทุนจับตาการเปิดเผยดัชนีราคาการใช้จ่ายเพื่อการบริโภคส่วนบุคคล (PCE) ของสหรัฐในวันศุกร์นี้ ขณะที่ผลการสำรวจนักวิเคราะห์คาดว่า ดัชนี PCE ทั่วไป ซึ่งรวมหมวดอาหารและพลังงาน จะเพิ่มขึ้น 5.5% ในเดือนพ.ย. เมื่อเทียบรายปี ซึ่งชะลอตัวจากระดับ 6.0% ในเดือนต.ค. และคาดว่าดัชนี PCE พื้นฐาน ซึ่งไม่นับรวมหมวดอาหารและพลังงาน และเป็นมาตรวัดอัตราเงินเฟ้อที่เฟดให้ความสำคัญ จะปรับตัวขึ้น 4.7% ในเดือนพ.ย. เมื่อเทียบรายปี ซึ่งชะลอตัวจากระดับ 5.0% ในเดือนต.ค.

 

ทั้งนี้ ดัชนี PCE ถือเป็นมาตรวัดเงินเฟ้อที่สามารถตรวจจับการเปลี่ยนแปลงในพฤติกรรมของผู้บริโภค และครอบคลุมราคาสินค้าและบริการในวงกว้างมากกว่าข้อมูลดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) จากกระทรวงแรงงานสหรัฐ

 

ที่มา สำนักข่าวอินโฟเควสท์