.

ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดร่วงลงกว่า 700 จุดในวันพฤหัสบดี (15 ธ.ค.) เนื่องจากนักลงทุนกังวลว่าการที่ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) เดินหน้าปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเชิงรุกเพื่อสกัดเงินเฟ้อนั้น จะส่งผลให้เศรษฐกิจสหรัฐเข้าสู่ภาวะถดถอย

 

ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 33,202.22 จุด ร่วงลง 764.13 จุด หรือ -2.25%, ดัชนี S&P500 ปิดที่ 3,895.75 จุด ลดลง 99.57 จุด หรือ -2.49% และดัชนี Nasdaq ปิดที่ 10,810.53 จุด ดิ่งลง 360.36 จุด หรือ -3.23%

 

ทั้งนี้ ดัชนี S&P500 และ Nasdaq ร่วงลงในวันเดียวที่รุนแรงที่สุดนับตั้งแต่วันที่ 2 พ.ย.ปีนี้ และดัชนีดาวโจนส์ดิ่งลงในวันเดียวที่รุนแรงที่สุดนับตั้งแต่วันที่ 13 ก.ย. นอกจากนี้ ทั้ง 3 ดัชนียังปิดที่ระดับต่ำสุดนับตั้งแต่วันที่ 9 พ.ย.

 

คณะกรรมการเฟดมีมติปรับขึ้นดอกเบี้ยระยะสั้น 0.50% สู่ระดับ 4.25-4.50% ในการประชุมเมื่อวันพุธที่ผ่านมา ซึ่งสอดคล้องกับการคาดการณ์ของตลาด และเป็นการลดขนาดการปรับขึ้นดอกเบี้ย หลังจากที่มีการปรับขึ้น 0.75% ในการประชุม 4 ครั้งติดต่อกันก่อนหน้านี้ แต่ตลาดวิตกกังวลหลังจากนายเจอโรม พาวเวล ประธานเฟดส่งสัญญาณที่แข็งกร้าวว่า เฟดจะเดินหน้าปรับขึ้นดอกเบี้ยต่อไปเนื่องจากยังไม่มีหลักฐานมากพอที่จะแสดงให้เห็นว่าอัตราเงินเฟ้ออยู่ในช่วงขาลงอย่างยั่งยืน

 

ในรายงานคาดการณ์อัตราดอกเบี้ยนโยบาย หรือ Dot Plot นั้น เฟดส่งสัญญาณว่าจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยสูงสุด (Terminal rate) สู่ระดับ 5.1% ภายในปี 2566 ซึ่งสูงกว่าตัวเลขคาดการณ์เดิมของตลาด และเป็นระดับสูงสุดนับตั้งแต่ศรษฐกิจสหรัฐทรุดตัวลงอย่างหนักในปี 2550

 

ซิลเวีย จาบลอนสกี ซีอีโอและหัวหน้าเจ้าหน้าที่ฝ่ายการลงทุนของบริษัท Defiance ETFs กล่าวว่า การคุมเข้มนโยบายการเงินของเฟดกำลังเป็นอุปสรรคต่อการเกิดปรากฎการณ์ “ซานต้า แรลลี่” ในปีนี้ และถ้อยแถลงของนายพาวเวลส่งสัญญาณชัดเจนว่า เขาไม่มีแผนที่จะชะลอ หรือหันเหทิศทางจากการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของเฟด

 

“เฟดกำลังปิดถนนขวางทางรถเลื่อนของซานต้า ด้วยการส่งสัญญาณว่าจะปรับดอกเบี้ยสูงขึ้นและยาวนานขึ้น เราคาดว่าตลาดจะผันผวนและถูกกดดันเป็นเวลานานขึ้นจากนโยบายของเฟด “จาบลอนสกีกล่าว

 

ทั้งนี้ ปรากฎการณ์ “ซานต้า แรลลี่” มักเกิดขึ้นเป็นเวลา 7 วันทำการ โดยมีขึ้นในช่วง 5 วันทำการสุดท้ายของปีปัจจุบัน รวมทั้ง 2 วันแรกของปีใหม่

 

ตลาดได้รับแรงกดดันมากขึ้นหลังจากธนาคารกลางยุโรป (ECB) และธนาคารกลางอังกฤษ (BoE) ประกาศขึ้นอัตราดอกเบี้ย 0.50% ในการประชุมเมื่อวานนี้ และส่งสัญญาณว่าจะเดินหน้าปรับขึ้นดอกเบี้ยต่อไปเพื่อสกัดเงินเฟ้อ ซึ่งทำให้นักลงทุนวิตกกังวลว่าเศรษฐกิจโลกจะเข้าสู่ภาวะถดถอย

 

นอกจากนี้ การร่วงลงของยอดค้าปลีกสหรัฐยังทำให้นักลงทุนกังวลว่า การเร่งปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของเฟดกำลังส่งผลกระทบต่อกิจกรรมทางเศรษฐกิจ โดยกระทรวงพาณิชย์สหรัฐเปิดเผยว่า ยอดค้าปลีกดิ่งลง 0.6% ในเดือนพ.ย. ซึ่งเป็นการร่วงลงมากที่สุดในรอบ 11 เดือน ขณะที่นักวิเคราะห์คาดว่าปรับตัวลงเพียง 0.1% หลังจากพุ่งขึ้น 1.3% ในเดือนต.ค.

 

หุ้นทั้ง 11 กลุ่มที่คำนวณในดัชนี S&P500 ปิดในแดนลบ นำโดยหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีและการสื่อสาร โดยหุ้นอัลฟาเบท ดิ่งลง 4.43% หุ้นไมโครซอฟท์ ร่วงลง 3.19% หุ้นเมตา แพลทฟอร์มส์ ลดลง 4.47% หุ้นเน็ตฟลิกซ์ ร่วงลง 8.63% หุ้นสแนป ดิ่งลง 8%

 

สำหรับข้อมูลเศรษฐกิจอื่น ๆ ที่มีการเปิดเผยเมื่อคืนนี้ กระทรวงแรงงานสหรัฐเปิดเผยตัวเลขผู้ยื่นขอสวัสดิการว่างงานครั้งแรกลดลง 20,000 ราย สู่ระดับ 211,000 รายในสัปดาห์ที่แล้ว ซึ่งเป็นระดับต่ำที่สุดนับตั้งแต่เดือนก.ย. และต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ 230,000 ราย

 

ขณะที่รายงานของเฟดระบุว่า การผลิตภาคอุตสาหกรรมโดยรวมของสหรัฐลดลง 0.2% ในเดือนพ.ย. หลังจากปรับตัวลง 0.1% ในเดือนต.ค. โดยตัวเลขการผลิตภาคอุตสาหกรรมโดยรวมเป็นการวัดการปรับตัวของภาคโรงงาน, เหมืองแร่ และสาธารณูปโภค

 

ที่มา สำนักข่าวอินโฟเควสท์