.

บรรดาผู้บริหารของธนาคารรายใหญ่สุดของสหรัฐได้ออกมาเตือนว่า เศรษฐกิจอาจจะเผชิญภาวะถดถอยในปีหน้า เนื่องจากวิกฤตเงินเฟ้อได้ส่งผลกระทบต่ออุปสงค์ของผู้บริโภค

 

นายเจมี ไดมอน ประธานเจ้าหน้าที่บริหารของเจพีมอร์แกน เชสเตือนว่า เงินเฟ้ออาจฉุดให้เศรษฐกิจสหรัฐเข้าสู่ภาวะถดถอยในปีหน้า พร้อมกับกล่าวว่า แม้ว่าขณะนี้ผู้บริโภคและภาคธุรกิจต่าง ๆ ยังคงอยู่ในสภาวะที่ดี แต่สิ่งนี้อาจดำเนินต่อไปได้ไม่นาน เนื่องจากเศรษฐกิจกำลังชะลอตัวลง

 

“ปัจจัยเหล่านี้จะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจ โดยทำให้เศรษฐกิจเข้าสู่ภาวะถดถอยเล็กน้อยไปจนถึงรุนแรง ซึ่งประชาชนต่างก็วิตกกังวลในเรื่องนี้” นายไดมอนกล่าวในรายการ “Squawk Box” ของสำนักข่าวซีเอ็นบีซีในวันอังคาร (6 ธ.ค.)

 

นายไดมอนยังกล่าวด้วยว่า ผู้บริโภคในสหรัฐมีเงินออมส่วนเกินอยู่ราว 1.5 ล้านล้านดอลลาร์จากมาตรการเยียวยาช่วงเกิดการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 แต่คาดว่าเงินออมเหล่านี้จะหมดลงในช่วงกลางปี 2566 พร้อมกับคาดการณ์ว่า ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) อาจจะระงับการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเป็นเวลา 3-6 เดือนหลังจากที่ปรับขึ้นดอกเบี้ยไปจนถึงระดับ 5% แต่อัตราดอกเบี้ยที่ระดับดังกล่าวอาจไม่เพียงพอที่จะควบคุมเงินเฟ้อที่ระดับสูงได้

 

สำนักข่าวรอยเตอร์รายงานว่า เฟดได้ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 0.75% ในการประชุมเดือนพ.ย. ซึ่งเป็นการปรับขึ้นดอกเบี้ย 0.75% ติดต่อกันในการประชุม 4 ครั้ง ส่งผลให้อัตราดอกเบี้ยของเฟดในขณะนี้อยู่ที่ 3.75% – 4% แต่เฟดได้ส่งสัญญาณว่าอาจจะชะลอการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในการประชุมครั้งถัดไปซึ่งจะจัดขึ้นในวันที่ 13-14 ธ.ค.นี้

 

ด้านนายไบรอัน มอยนิฮาน ซีอีโอของแบงก์ ออฟ อเมริกา กล่าวในการประชุมด้านการเงินซึ่งจัดขึ้นโดยโกลด์แมน แซคส์ในวันอังคาร (6 ธ.ค.) ว่า เขาคาดว่าเศรษฐกิจสหรัฐจะหดตัวลงเล็กน้อยในช่วงครึ่งแรกของปีหน้า

 

ขณะที่นายเดวิด โซโลมอน ซีอีโอของโกลด์แมน แซคส์กล่าวว่า “เศรษฐกิจสหรัฐกำลังชะลอตัวลง และขณะนี้ลูกค้าของธนาคารมีความกังวลในเรื่องนี้อย่างมาก”

 

คำเตือนของบรรดาผู้บริหารธนาคารรายใหญ่เป็นไปในทางเดียวกับที่ผู้บริหารของบริษัทแบล็คร็อคและสถาบันการเงินรายอื่น ๆ ได้กล่าวไว้ก่อนหน้านี้ว่า การที่เฟดเดินหน้าปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเชิงรุกเพื่อสกัดเงินเฟ้อนั้น อาจจะส่งผลให้เศรษฐกิจชะลอตัวลงในปีหน้า

 

ที่มา          สำนักข่าวอินโฟเควสท์