.

ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดลบในวันพฤหัสบดี (1 ธ.ค.) หลังสหรัฐเปิดเผยดัชนีภาคการผลิตร่วงลงแตะระดับต่ำสุดในรอบกว่า 2 ปี ซึ่งทำให้ตลาดวิตกกังวลเกี่ยวกับผลกระทบทางเศรษฐกิจที่เกิดจากการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ขณะที่นักลงทุนจับตาตัวเลขจ้างงานนอกภาคเกษตรของสหรัฐในวันนี้ เพื่อหาสัญญาณบ่งชี้ทิศทางอัตราดอกเบี้ยของเฟด

 

ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 34,395.01 จุด ลดลง 194.76 จุด หรือ -0.56%, ดัชนี S&P500 ปิดที่ 4,076.57 จุด ลดลง 3.54 จุด หรือ -0.09% และดัชนี Nasdaq ปิดที่ 11,482.45 จุด เพิ่มขึ้น 14.45 จุด หรือ +0.13%

 

สถาบันจัดการด้านอุปทานของสหรัฐ (ISM) เปิดเผยว่า ดัชนีภาคการผลิตของสหรัฐปรับตัวลงสู่ระดับ 49.0 ในเดือนพ.ย. ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดนับตั้งแต่เดือนพ.ค. 2563 และต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ 49.8 จากระดับ 50.2 ในเดือนต.ค.

 

ทั้งนี้ ดัชนีปรับตัวต่ำกว่าระดับ 50 ซึ่งบ่งชี้ว่าภาคการผลิตของสหรัฐเข้าสู่ภาวะหดตัว และเป็นการหดตัวครั้งแรกในรอบ 2 ปีครึ่ง เนื่องจากต้นทุนการกู้ยืมที่สูงขึ้นได้ส่งผลกระทบต่ออุปสงค์ในตลาด โดยข้อมูลดังกล่าวเป็นหลักฐานบ่งชี้ว่าการที่เฟดปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยหลายครั้งในช่วงที่ผ่านมาได้ส่งผลให้เศรษฐกิจชะลอตัวลง

 

อย่างไรก็ดี ตลาดได้รับแรงหนุนในระหว่างวัน หลังมีข้อมูลบ่งชี้ว่าเงินเฟ้อของสหรัฐได้ผ่านจุดสูงสุดแล้ว โดยดัชนีราคาการใช้จ่ายเพื่อการบริโภคส่วนบุคคล (PCE)  ทั่วไป ซึ่งรวมหมวดอาหารและพลังงาน เพิ่มขึ้น 6.0% ในเดือนต.ค. เมื่อเทียบรายปี ซึ่งชะลอตัวจากระดับ 6.3% ในเดือนก.ย. ส่วนดัชนี PCE พื้นฐานซึ่งไม่นับรวมหมวดอาหารและพลังงาน และเป็นมาตรวัดอัตราเงินเฟ้อที่เฟดให้ความสำคัญ เพิ่มขึ้นเพียง 0.2% ในเดือนต.ค. เมื่อเทียบรายเดือน ต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ 0.3% หลังจากดีดตัว 0.5% ในเดือนก.ย.

 

ทั้งนี้ ดัชนี PCE เป็นมาตรวัดเงินเฟ้อที่สามารถตรวจจับการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมของผู้บริโภค และครอบคลุมราคาสินค้าและบริการในวงกว้างมากกว่าข้อมูลดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI)

 

ข้อมูลจาก FedWatch Tool ของ CME Group บ่งชี้ว่า ขณะนี้นักลงทุนให้น้ำหนักมากถึง 79% ที่เฟดจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 0.50% ในการประชุมวันที่ 13-14 ธ.ค.นี้ และให้น้ำหนักเพียง 21% ที่เฟดจะปรับขึ้นดอกเบี้ย 0.75% ในการประชุมวันดังกล่าว

 

หุ้น 7 ใน 11 กลุ่มในดัชนี S&P500 ปิดในแดนลบ นำโดยดัชนีหุ้นกลุ่มการเงินปรับตัวลง 0.71% โดยหุ้นแบงก์ ออฟ อเมริกา ร่วงลง 2.87% หุ้นโกลด์แมน แซคส์ ปรับตัวลง 0.56% หุ้นเวลส์ ฟาร์โก ร่วงลง 2.25%

 

หุ้นเซลฟอร์ซ ซึ่งเป็นผู้ผลิตซอฟต์แวร์รายใหญ่ของสหรัฐ ร่วงลง 8.27% และเป็นหนึ่งในปัจจัยสำคัญที่ฉุดดัชนีดาวโจนส์ร่วงลง หลังจากมีรายงานว่านายเบรต เทย์เลย์ จะลาออกจากตำแหน่งประธานเจ้าหน้าที่บริหารร่วม (co-CEO) ของบริษัท

 

หุ้นดอลลาร์ เจเนอรัล ซึ่งเป็นห้างค้าปลีกรายใหญ่ของสหรัฐ ร่วงลง 7.5% หลังจากบริษัทปรับลดคาดการณ์ผลกำไรในปีงบการเงิน 2565 ขณะที่หุ้นคอสต์โค โฮลเซล ซึ่งเป็นห้างค้าปลีกรายใหญ่เช่นกัน ดิ่งลง 6.6% หลังจากบริษัทรายงานยอดขายชะลอตัวลงในเดือนพ.ย.

 

อย่างไรก็ดี หุ้นกลุ่มเทคโนโลยีดีดตัวขึ้นและเป็นปัจจัยหนุนดัชนี Nasdaq ปิดในแดนบวก โดยหุ้นเมตา แพลทฟอร์มส์ พุ่งขึ้น 1.98% หุ้นแอปเปิ้ล บวก 0.19% หุ้นอินวิเดีย พุ่งขึ้น 1.25% หุ้นควอลคอมม์ บวก 0.25%

 

นักลงทุนจับตาการเปิดเผยตัวเลขจ้างงานนอกภาคเกษตรของสหรัฐในวันนี้ ขณะที่นักวิเคราะห์คาดว่าตัวเลขจ้างงานจะเพิ่มขึ้นเพียง 200,000 ตำแหน่งในเดือนพ.ย. หลังจากเพิ่มขึ้น 261,000 ตำแหน่งในเดือนต.ค. และคาดว่าอัตราว่างงานเดือนพ.ย.ทรงตัวที่ระดับ 3.7%

 

ที่มา สำนักข่าวอินโฟเควสท์