.

ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดพุ่งขึ้นในวันอังคาร (31 ม.ค.) หลังสหรัฐเปิดเผยต้นทุนแรงงานชะลอตัวลงในไตรมาส 4/2565 ซึ่งทำให้ตลาดคาดการณ์ว่าธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) จะผ่อนคันเร่งในการปรับขึ้นดอกเบี้ย ขณะที่นักลงทุนจับตาผลการประชุมนโยบายการเงินของเฟดในวันนี้ตามเวลาสหรัฐ และประกอบการของบริษัทเทคโนโลยีรายใหญ่ในสัปดาห์นี้ ซึ่งรวมถึงอัลฟาเบทและแอปเปิ้ล

 

ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 34,086.04 จุด พุ่งขึ้น 368.95 จุด หรือ +1.09%, ดัชนี S&P500 ปิดที่ 4,076.60 จุด เพิ่มขึ้น 58.83 จุด หรือ +1.46% และดัชนี Nasdaq ปิดที่ 11,584.55 จุด พุ่งขึ้น 190.74 จุด หรือ +1.67%

 

ดัชนีหลักทั้ง 3 ดัชนีต่างก็พุ่งขึ้นกว่า 1% ขานรับรายงานของกระทรวงแรงงานสหรัฐซึ่งระบุว่า ดัชนีต้นทุนการจ้างงาน ซึ่งเป็นหนึ่งในข้อมูลสำคัญที่เฟดใช้จับสัญญาณเงินเฟ้อ ปรับตัวขึ้น 1% ในไตรมาส 4/2565 ซึ่งเป็นการขยายตัวในอัตราต่ำสุดในรอบ 1 ปี และต่ำกว่าในไตรมาส 3 ที่ปรับตัวเพิ่มขึ้น 1.2% เนื่องจากค่าจ้างขยายตัวในอัตราที่ชะลอลง

 

ปีเตอร์ ทุซ นักวิเคราะห์จากบริษัท Chase Investment Counsel กล่าวว่า ต้นทุนแรงงานที่ชะลอตัวลงสะท้อนให้เห็นว่า ภารกิจควบคุมเงินเฟ้อของเฟดในช่วงที่ผ่านมานั้นใช้ได้ผล และมีแนวโน้มที่จะทำให้เฟดผ่อนคันเร่งในการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย

 

ตลอดทั้งเดือนม.ค. ดัชนีดาวโจนส์พุ่งขึ้นทั้งสิ้น 2.8% ขณะที่ดัชนี Nasdaq ทะยานขึ้น 10.7% ซึ่งเป็นการปรับตัวขึ้นรายเดือนที่แข็งแกร่งที่สุดนับตั้งแต่ปี 2544 และดัชนี S&P500 พุ่งขึ้น 6.2% ซึ่งเป็นการปรับตัวขึ้นรายเดือนที่แข็งแกร่งที่สุดนับตั้งแต่ปี 2562

 

ไรอัน เดทริก นักวิเคราะห์จาก Carson Group กล่าวว่า “การปรับตัวอย่างแข็งแกร่งของตลาดหุ้นในเดือนม.ค.ซึ่งเป็นเดือนแรกของปี ถือเป็นสัญญาณที่ดีต่อตลาด และบ่งชี้ว่าตลาดจะดีดตัวขึ้นต่อไปในช่วงหลายเดือนข้างหน้า โดยสถิติบ่งชี้ว่า มีอยู่ถึง 5 ครั้งในอดีตที่ดัชนี S&P 500 พุ่งขึ้นมากกว่า 5% ในเดือนม.ค. หลังจากที่ตลาดติดลบในปีก่อนหน้า ดัชนีก็ได้พุ่งขึ้นเฉลี่ยถึง 30% ในปีนั้น”

 

หุ้นทั้ง 11 กลุ่มที่คำนวณในดัชนี S&P500 ปิดในแดนบวก นำโดยดัชนีหุ้นกลุ่มวัสดุพุ่งขึ้นแข็งแกร่งถึง 2.22% โดยหุ้นฟรีพอร์ท-แมคมอแรน พุ่งขึ้น 1.43% หุ้นวัลแคน มาเทเรียลส์ พุ่งขึ้น 2.83% หุ้นยูเอส สตีล คอร์ป ดีดขึ้น 0.49%

 

หุ้นเอ็กซอน โมบิล พุ่งขึ้น 2.16% หลังบริษัทเปิดเผยกำไรสุทธิในปีงบการเงิน 2565 สูงถึง 5.6 หมื่นล้านดอลลาร์ ซึ่งทำสถิติสูงสุดเป็นประวัติการณ์

 

หุ้นแมคโดนัลด์ ปิดตลาดปรับตัวลง 1.29% หลังจากราคาหุ้นพุ่งขึ้นในระหว่างวัน ขานรับการเปิดเผยกำไรต่อหุ้นในไตรมาส 4/2565 ซึ่งอยู่ที่ 2.59 ดอลลาร์ สูงกว่าตัวเลขคาดการณ์ที่ระดับ 2.45 ดอลลาร์

 

หุ้นเจเนอรัล มอเตอร์ (GM) ทะยานขึ้น 8.35% หลังบริษัทเปิดเผยกำไรต่อหุ้นในไตรมาส 4/2565 ที่ระดับ 2.12 ดอลลาร์ สูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ 1.69 ดอลลาร์

 

หุ้นยูไนเต็ด พาร์เซิล เซอร์วิส (UPS) ซึ่งเป็นบริษัทรับส่งพัสดุภัณฑ์ใหญ่ที่สุดในโลก พุ่งขึ้น 4.71% ขานรับกำไรต่อหุ้นในไตรมาส 4/2565 ซึ่งอยู่ที่ 3.62 ดอลลาร์ สูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ 3.59 ดอลลาร์

 

นักลงทุนจับตาผลการประชุมนโยบายการเงินของเฟดซึ่งจะมีการแถลงในวันพุธที่ 1 ก.พ.ตามเวลาสหรัฐ หรือในช่วงเช้าตรู่ของวันพฤหัสบดีที่ 2 ก.พ.ตามเวลาไทย ขณะที่ตลาดคาดการณ์ว่า เฟดจะปรับขึ้นดอกเบี้ย 0.25% ในการประชุมครั้งนี้

 

นอกจากนี้ นักลงทุนยังจับตารายงานผลประกอบการของบริษัทเทคโนโลยีรายใหญ่ในสัปดาห์นี้ ซึ่งรวมถึงอัลฟาเบท, อะเมซอน และแอปเปิ้ล อีกทั้งรอดูการเปิดเผยตัวเลขจ้างงานนอกภาคเกษตรประจำเดือนม.ค.ของสหรัฐในวันศุกร์นี้

 

ที่มา          สำนักข่าวอินโฟเควสท์