กนง. มีมติปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายอีก 0.25% ตามที่ตลาดคาดการณ์ไว้ จาก 1.25% มาเป็น 1.50%
ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) คาดการณ์สภาพเศรษฐกิจไทยในปีนี้จะขยายตัวได้ต่อเนื่องและมีแนวโน้มดีขึ้น แต่ยังมีความกังวลเรื่องภาวะเงินเฟ้อและแรงกดดันด้านอุปสงค์ภายในประเทศ โดย กนง. พร้อมจะปรับนโยบายการเงินและอัตราดอกเบี้ยได้เสมอ เพื่อให้เกิดความเหมาะสมกับสถานการณ์ทางเศรษฐกิจในเวลานั้น
.
การปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของ กนง. ครั้งนี้ เพื่อลดอัตราเงินเฟ้อ ซึ่งในส่วนอัตราเงินเฟ้อพื้นฐานยังอยู่ในระดับที่สูง ถึงแม้ว่าอัตราเงินเฟ้อทั่วไปมีแนวโน้มลดลง ซึ่งไทยปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอย่างค่อยเป็นค่อยไป ซึ่งเพิ่งขึ้นอัตราดอกเบี้ยในเดือน ส.ค. ปีที่แล้ว และปรับขึ้นรวมทั้งสิ้นเพียง 0.75% ในปีที่แล้ว ขณะที่ธนาคารกลางชั้นนำอย่างสหรัฐฯ ยุโรป และอังกฤษ ต้องเร่งขึ้นอัตราดอกเบี้ยในปีที่แล้วเพื่อสกัดกั้นอัตราเงินเฟ้อที่สูงมาก สำหรับสัปดาห์หน้าการประชุมธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) คาดชะลอการขึ้นอัตราดอกเบี้ย โดยคาดขึ้นอัตราดอกเบี้ย 0.25% เป็น 4.50-4.75% ขณะที่ธนาคารอังกฤษคาดเร่งขึ้นอัตราดอกเบี้ยต่อไปอีก 0.50% เป็น 4.00% ทำให้แนวโน้มเงินดอลลาร์เมื่อเทียบกับเงินสกุลอื่นอ่อนค่าลง และเป็นปัจจัยหนุนต่อราคาทองคำ Spot
.
แต่ด้วยเงินทุนที่ไหลเข้ามาในประเทศจากปัจจัยทางเศรษฐกิจของไทยที่ดีกว่าประเทศเพื่อนบ้าน และจากการหลั่งไหลเข้ามาของนักท่องเที่ยวต่างชาติ ทำให้เงินบาทแข็งค่ามาใกล้ระดับ 32 บาทต่อดอลลาร์ อีกทั้ง ธปท. ได้วางกรอบเป้าหมายเงินเฟ้อไว้ที่ 1-3% ซึ่งคาดว่าอัตราเงินเฟ้อของไทยจะค่อย ๆ ปรับลดลงมาอยู่ในระดับดังกล่าวได้ภายในปีนี้ กนง.จึงถูกจำกัดกรอบในการจะปรับขึ้นดอกเบี้ยตามประเทศเศรษฐกิจหลักอื่น ๆ ดังนั้น อัตราดอกเบี้ยนโยบายของไทยจึงมีโอกาสจะขึ้นไปสูงสุดที่ประมาณ 2% เท่านั้น
.
ส่วนผลกระทบต่อราคาทองคำในบ้านเรา คาดว่าจะเกิดผลทางลบที่จากการแข็งค่าของเงินบาทเป็นหลัก ซึ่งคาดว่าเงินบาทจะแข็งค่าที่สุดในช่วง 30-32 บาทต่อดอลลาร์ ในช่วงเดือน มี.ค.-เม.ย. ที่ กนง.จะทำการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยครั้งต่อไป