ธนาคารกลางทั่วโลกในปีนี้ อาจซื้อทองคำต่อเนื่อง

Gold Bullish

  • ภาวะเศรษฐกิจโลกมีความเสี่ยงเข้าสู่ภาวะถดถอย
  • ความเสี่ยงทางภูมิรัฐศาสตร์ ได้แก่ สงครามระหว่างรัสเซียและยูเครนที่ทวีความรุนแรงขึ้น ความขัดแย้งระหว่างสหรัฐฯ และจีน
  • การชะลอปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐฯ
  • หนี้สหรัฐฯ ชนเพดานที่ระดับ 31.4 ล้านล้านเหรียญสหรัฐฯ

Gold Bearish

  • การเจรจาสันติภาพระหว่างรัสเซียและยูเครนที่มีความคืบหน้ามากขึ้น
  • ดอลลาร์แข็งค่า จากตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐฯ ออกมาอย่างแข็งแกร่ง

ทองคำลงแรง แต่ยังคงน่าลงทุน

ช่วงปลายสัปดาห์ที่ผ่านมาราคาทองคำปรับตัวลงแรง เนื่องจากดอลลาร์สหรัฐฯ เริ่มกลับมาแข็งค่า ตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐฯ อย่างเช่นตลาดแรงงานของสหรัฐฯ ออกมาอย่างแข็งแกร่ง ส่งผลให้ราคาทองคำในช่วงนี้เริ่มมีแนวโน้มไม่สดใส รวมถึงสัญญาณทางเทคนิคของราคาทองคำที่มีทิศทางขาลง ซึ่งในสัปดาห์นี้มีความเป็นไปได้ว่าราคาทองคำอาจปรับตัวลงได้ต่อสู่ระดับ 1,845-1,850 ดอลลาร์ แต่เป็นการปรับตัวลงในระยะสั้น ซึ่งในระยะยาวทองคำยังคงน่าสนใจ โดยสัปดาห์นี้ติดตามประเด็นที่สำคัญล่าสุดจากที่กองทัพสหรัฐฯ ยิงบอลลูนของจีนตกหลังลอยผ่านน่านฟ้าของประเทศมาหลายวัน ส่งผลให้เดิมทีที่นายแอนโทนี บลิงเกน รัฐมนตรีต่างประเทศสหรัฐฯ จะมีกำหนดการเดินทางเยือนจีนในวันที่ 5-6 ก.พ. นี้นั้น ได้ตัดสินใจเลื่อนการเดินทางเยือนจีนโดยไม่มีกำหนด โดยเหตุการณ์กรณีที่บอลลูนจีนโดยสอยตกนั้น ทำให้สร้างความไม่พอใจของจีนเป็นอย่างมาก ส่งผลให้ความสัมพันธ์ระหว่างสหรัฐฯ และจีนที่เปราะบางอยู่แล้วนั้น จะยิ่งทำให้ดูแย่ลงไปกว่าเดิม โดยก่อนหน้านี้สหรัฐฯ จะส่งเจ้าหน้าที่ระดับสูงไปเยือนจีน เพื่อรื้อฟื้นความสัมพันธ์ทั้งด้านเศรษฐกิจ การค้า ท่ามกลางหนี้สหรัฐฯ ได้ชนเพดานแล้วที่ระดับ 31.4 ล้านล้านเหรียญสหรัฐฯ รวมถึงที่ผ่านมานั้นจีนได้เทขายพันธบัตรสหรัฐฯ ออกมาอย่างต่อเนื่องนับตั้งแต่ปี 2557 จากที่เคยเป็นผู้ถือครองพันธบัตรสหรัฐฯ เป็นอันดับ 1 จนตอนนี้ญี่ปุ่นแซงหน้าจีน ซึ่งในปัจจุบันจีนได้ถือครองพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ ลดลงต่ำกว่า 9 แสนล้านดอลลาร์ ซึ่งถือว่าเป็นระดับต่ำสุดในรอบ 12 ปี ตั้งแต่เดือนมิ.ย. 2553

.
อีกประเด็นหนึ่งคือ ประธานาธิบดีโจ ไบเดน จะมีการจะแถลงนโยบายประจำปีในเช้าวันพุธที่ 8 ก.พ. เวลา 9.00 น. ซึ่งเป็นการแถลงนโยบายประจำปีเป็นครั้งที่ 2 แต่ถือว่าเป็นการแถลงครั้งแรกต่อสภาคองเกรสชุดนี้ ที่พรรคแดโมแครตครองเสียงข้างมากในวุฒิสภา และพรรครีพับลิกันครองเสียงข้างมากในสภาผู้แทนราษฎรสหรัฐฯ

.

ธนาคารกลางประเทศต่าง ๆ ในปีนี้ อาจซื้อทองคำเป็นทุนสำรองอย่างต่อเนื่อง แต่อาจน้อยกว่าปี 2565

หลังจากที่ธนาคารกลางทั่วโลกซื้อทองคำเป็นทุนสำรองในปี 2565 มูลค่ามากสุดในรอบ 55 ปีนับตั้งแต่ปี 2510 ซึ่งซื้อรวมกันมากถึง 1,136 ตัน หรือมูลค่า 7 หมื่นล้านดอลลาร์  ซึ่งเพิ่มขึ้นกว่า 152% จากที่ปี 2564 มีการเข้าซื้อทองคำ 450.1 ตัน ซึ่งการเข้าซื้อทองคำในปีนี้ของธนาคารกลางเป็นการเข้าซื้อสุทธิติดต่อกันปีที่ 13 และนับว่าเป็นปีที่มียอดซื้อสุทธิสูงสุดเป็นอันดับ 2 จากที่เคยมีการบันทึกในประวัติการณ์ โดยเฉพาะความต้องการซื้อในไตรมาส 3 และไตรมาส 4 ที่มีการซื้อทองคำรวมกันกว่า 862 ตัน แต่การเข้าซื้อทองคำของธนาคารกลางในปีที่แล้วนั้น ส่วนใหญ่มาจากประเทศจีน ตุรเคีย ที่เข้าซื้อทองคำมากที่สุด

.

โดยธนาคารกลางจีนมีการเข้าซื้อทองคำเป็นทุนสำรองเพิ่มขึ้น 32 ตัน ในเดือนพ.ย. ถือว่าเป็นการเข้าซื้อครั้งใหญ่ที่สุด และเป็นการประกาศเพิ่มปริมาณทองคำเป็นทุนสำรองครั้งแรกนับตั้งแต่เดือนก.ย. 2562 ขณะที่ยังคงซื้อต่อเนื่องในเดือนธ.ค. ทำให้จีนเข้าซื้อทองคำเป็นทุนสำรองทั้งหมดกว่า 62.21 ตันในปี 2565 ขณะที่ธนาคารกลางตุรเคีย ยังคงเข้าซื้อทองคำต่อเนื่อง ทำให้ธนาคารกลางตุรเคียเข้าซื้อทองคำสุทธิทั้งปี 148 ตัน ซึ่งสูงกว่า 126 ตันในปี 2562 และมากที่สุดของธนาคารกลางอื่น ๆ ที่มีการรายงาน

.
ซึ่งข้อมูลดังกล่าวสะท้อนให้เห็นทัศนคติของทองคำ ซึ่งแต่ก่อนธนาคารกลางฝั่งประเทศตะวันตกต่างขายทองคำมาตลอด ขณะเดียวกันฝั่งเอเชียเข้าซื้อทองคำมากขึ้น โดยเฉพาะรัสเซีย ตุรเคีย จีน และอินเดีย ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่ามุมมองของธนาคารกลางที่ต้องการกระจายความเสี่ยงมากขึ้น จากความไม่แน่นอนของสงคราม ความขัดแย้งระหว่างประเทศ แนวโน้มภาวะถดถอยของเศรษฐกิจโลก โดยการที่ธนาคารกลางเข้าซื้อทองคำ ทำให้อุปสงค์ทองคำเพิ่มขึ้น 18% จากปี 2564 มาเป็น 4,741 ตัน และนับว่าสูงที่สุดตั้งแต่ปี 2554

สัญญาณทางเทคนิคของราคาทองคำมีทิศทางขาลง
ซึ่งคาดว่าเป็นการปรับตัวลงในระยะสั้น แนะนำรอเข้าซื้อราคาทองคำ
กรณีที่ราคาทองเริ่มมีการพักฐาน

ดาวน์โหลดเอกสาร